วิกฤต-อเมริกัน รัฐล้มเหลว ในต้นศตวรรษที่ 21
เพจ บูรพาไม่แพ้ โพสต์บทความที่น่าสนใจเกี่ยวกับ วิกฤต-อเมริกัน รัฐล้มเหลว ในต้นศตวรรษที่ 21 ทั้ง #วิกฤติ11กันยายน - #วิกฤตโรคระบาด2020 - #วิกฤตประท้วงต่อต้านเหยียดผิว 2020 - และอื่นๆ
คัดย่อๆ มาหลักๆ ช่วงท้ายๆ .............บทความใน The Atlantic สื่อท้องถิ่น ใช้คำว่า ชาติมหาอำนาจที่ร่ำรวยที่สุด กลายเป็นชาติขอทานในความโกลาหลที่สุด และว่า โดนัลด์ ทรัมป์ มองวิกฤตเกือบทั้งหมดในแง่ส่วนตัวและการเมือง กังวลแต่ว่าใกล้จะมีการเลือกตั้งอีกครั้ง แต่ในแง่ชาวอเมริกันตอนนี้ กำลังอยู่ในสภาพว่า เชื่อผู้นำหรือไม่ เรายังสามารถปกครองตนเองได้หรือไม่?
.................
"สามวิกฤติ สหรัฐฯ ต้นศตวรรษ 21 (9/11, ซับไพร์ม, โรคระบาด)"
#วิกฤติ11กันยายน -
ศตวรรษที่ 21 เริ่มต้น สหรัฐอเมริกาพบเผชิญความโศกเศร้า กับวิกฤตที่มีนัยยะสำคัญของประเทศแล้ว 3 ครั้ง โดยครั้งแรกเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2001 และ วิกฤติครั้งที่สองในปี 2008
#วิกฤตซับไพรม์2008 -
วิกฤติครั้งที่สองในปี 2008 คือวิกฤตสินเชื่อซับไพรม์ หรือที่เรียกว่า วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ สาเหตุหลักมาจากภาวะฟองสบู่ในตลาดอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐอเมริกาแตก การกู้ยืมและการให้กู้ยืมที่มีความเสี่ยงสูง และระดับหนี้สินของบริษัทและบุคคลที่สูงเกินไป วิกฤติครั้งนี้มีผลหลายขั้นแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วทั่วโลก เผยให้เห็นความอ่อนแอในระบบการเงินและระบบการควบคุมทั่วโลก
วิกฤติครั้งที่สองนี้เอง ที่ทำให้เกิดการแบ่งขั้วความคิดความนิยมทางการเมือง ในหมู่คนอเมริกัน: ชนชั้นสูงกับชนชั้นล่าง, รีพับลิกันและเดโมแครต, คนเมืองหลวงและชนบท, คนพื้นเมืองและผู้อพยพ, ชาวอเมริกันธรรมดาและผู้นำของพวกเขา
ประชาชนอเมริกันระดับกลางและล่างเป็นหนี้และสูญเสียงาน เสียบ้านและเงินออมเพื่อการเกษียณอายุ หลายคนไม่เคยฟื้นตัวอีกเลย และหนำซ้ำคนหนุ่มสาวที่โตขึ้นมาในช่วงเศรษฐกิจถดถอยครั้งใหญ่นั้น ยังยากจนกว่าพ่อแม่ ความไม่เท่าเทียมในชีวิตชาวอเมริกัน ที่มีมานานนับตั้งแต่ช่วงปลายทศวรรษ 1970 ก็ยิ่งเลวร้ายลง
สายสัมพันธ์ที่ยึดเกี่ยวคนในสังคม กลายเป็นถูกดึงแยกตึงคนละขั้วเพิ่มขึ้นมาต่อเนื่องตลอดหลายสิบปี และตอนนี้เริ่มฉีกขาดจากกันแล้ว
การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ทำให้ บริษัท และนักลงทุนมั่งคั่ง และทิ้งชนชั้นแรงงานไว้เบื้องหลัง
นักการเมืองทั้งสองฝ่าย ก็เข้าใจความน่าเชื่อถือที่พวกเขาสูญเสียไป การเมืองที่กำลังจะมาถึง จึงเป็นเรื่องประชานิยม
#วิกฤตโรคระบาด2020 -
และแล้วโรคระบาดไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ซึ่งคร่าชีวิตคนอเมริกันไปเกินกว่าแสนคนแล้ว ในเวลาเพียงสองเดือนที่ผ่านมา ก็คือวิกฤติที่สามในต้นศตวรรษที่ 21 ที่ยังไม่รู้จะจบอย่างไร ถ้าไวรัสฯ ไม่ปรานีผ่อนแรงให้เอง
ขณะที่ดูเหมือน อเมริกาจะยอมแพ้เรื่องโรคระบาดแล้ว ก็พลันเกิดการประท้วงปะทุขึ้นทั่วประเทศ ไม่ใช่ไวรัสประท้วงแต่คือคนอเมริกันเอง
#วิกฤตประท้วงต่อต้านเหยียดผิว 2020 -
หลังจากหลายเดือนของพื้นที่สาธารณะร้างและถนนว่างเปล่าชาวอเมริกันกลับมาที่ถนนอีกครั้ง แต่ไม่ได้มาเพื่อมีความสุข เพื่อเฉลิมฉลองชัยชนะของประเทศเหนือโคโรนาไวรัส แต่กลับมีคนหลายหมื่นคนออกมาประท้วงกับระบบความไม่เท่าเทียมกันในสังคม และความโหดร้ายของตำรวจ หลังเหตุการณ์เสียชีวิตของจอร์จ ฟลอยด์
การยืนเป็นกลุ่มเป็นเวลานาน ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการแพร่กระจายของ SARS-CoV-2 ซึ่งเป็นไวรัสที่ทำให้ COVID-19 เพิ่มขึ้น แอนโทนี่ ฟาซี ผู้อำนวยการสถาบันโรคภูมิแพ้และโรคติดเชื้อแห่งชาติ กล่าวว่ารูปแบบเฉพาะของมวลชนการประท้วงในบุคคลและการตอบโต้ของตำรวจนั้นเป็น “พฤติกรรมสมบูรณ์แบบ” สำหรับการแพร่เชื้อไวรัส
วิกฤติโรคระบาด ทำให้สหรัฐฯ คนผิวดำเสียชีวิตจำนวนมาก คนผิวดำตายเกือบสองเท่า มีช่องว่างเทียบกับคนขาว ก็มีผู้กล่าวว่าเชื่อมโยงกับการเหยียดเชื้อชาติซึ่งเป็นเรื่องของระบบฯ ด้วย เช่นเดียวกับความไม่เสมอในกระบวนการยุติธรรม
ชาวอเมริกันอาจต้องการให้ไวรัสหายไปแต่เมื่อสถานการณ์ความไม่สงบทั่วประเทศเป็นแบบนี้ คงยากที่จะควบคุม
เช่นเดียวกัน ชาวอเมริกันอาจต้องการให้ระบบแห่งความไม่เท่าเทียมและเหยียดผิวหายไป แต่ก็ไม่มีใครบอกได้เลยว่าจะหายไปได้อย่างไร
เมื่อวิกฤติความไม่เสมอภาคทางเชื้อชาติสองเรื่องพบกัน จึงมีผู้กล่าวเปรียบเปรยความไม่เสมอภาคทั้งในด้านสาธารณสุขและกระบวนการยุติธรรมนี้ว่า จอร์จ ฟลอยด์ ชายผิวดำ อายุ 46 ปี เขาแม้จะรอดชีวิตจาก COVID-19 ในเดือนเมษายน แต่ก็ถูกฆ่าตายใต้เข่าของเจ้าหน้าที่ตำรวจในเดือนพฤษภาคม
อ่านทั้งหมดที่ ...
อ้างอิงจาก: https://www.facebook.com/TheDongFangBubai/posts/1098925697156841?__tn__=K-R
ภาพจากสื่อ ตปท./ google