ปิดเมืองไร้ผล อินเดียติดเชื้อเบอร์ 1 เอเชีย
เพจ Drama-addictโพสต์ระบุว่า
ลำบากน่าดูอินเดีย คือวิธีการของอินเดียโอเคแล้ว
ปัญหาคือความหนาแน่นของประชากร มันสูงมาก
สูงจนทำ social distancing ไม่ได้ พอติดเชื้อเข้าย่านที่คนแออัดที
มันจะลามต่อแบบหยุดไม่อยู่เลย
ด้าน กระแสเอเชียใต้ - South Asian News โพสต์ระบุว่า
ปิดเมืองไร้ผล อินเดียติดเชื้อเบอร์ 1 เอเชีย
.
จริง ๆ ถ้าใครตามข่าวในไทยก็คงพอจะทราบว่าตอนนี้อินเดียถือเป็นพื้นที่สำคัญพื้นที่หนึ่งที่อาจจะกลายเป็นแหล่งแพร่ระบาดใหญ่ของโควิด 19 เราจะเห็นได้ว่าเริ่มมีคนไทยที่กลับจากอินเดียติดเชื้อไวรัสนี้ด้วย
.
เมื่อวานนี้ถือเป็นอีกหนึ่งวันสำคัญที่ตัวเลขผู้ติดเชื้อรายวันของอินเดียทำสถิติสูงสุดคือ 7,258 ราย ส่งผลให้มียอดผู้ติดเชื้อสะสมมากถึง 165, 387 ราย ซึ่งถือว่าแซงหน้าประเทศตุรกีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
.
ปัจจุบัน อินเดียจึงกลายเป็นประเทศที่มีผู้ติดเชื้อมากที่สุดในทวีปเอเชีย และเป็นอันดับที่ 9 ของโลก ซึ่งมีการคาดกันว่าตัวเลขผู้ติดเชื้อของอินเดียจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนไปถึงราวปลายเดือนมิถุนายน-ต้นกรกฎาคม
.
ตัวเลขผู้เสียชีวิตของอินเดียก็จำนวนมากพอสมควร โดยปัจจุบัน มีผู้เสียชีวิตอยู่ที่ราว ๆ 4711 คน โดยในช่วงเดือนนี้ค่าเฉลี่ยของผู้เสียชีวิตอยู่ที่ราววันละ 100 คน ในขณะที่อัตราการรักษาหายนั้นยังอยู่ที่ 70,920 ราย ซึ่งเกือบเป็นครึ่งหนึ่งของจำนวนผู้ติดเชื้อ
.
ทั้งนี้นับตั้งแต่อินเดียเจอเคสแรกในวันที่ 30 มกราคม ในรัฐเกรละ จนถึงวันนี้ก็กินเวลาร่วม 4 เดือนเต็ม เห็นได้ชัดว่ามีตัวเลขเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัวในเวลารวดเร็ว โดยเฉพาะหลังมาตรการปิดเมืองของอินเดียที่เริ่มขึ้นในช่วงปลายเดือนมีนาคม
.
***คำถามจึงเกิดขึ้นมาว่าสรุปแล้วมาตรการปิดเมืองของอินเดียได้ผลจริงหรือไม่? และที่มันไม่ได้ผลนั้นเกิดขึ้นจากอะไรกันแน่? วันนี้เลยอยากจะเอาข้อมูลมาไขข้อข้องใจใครหลายคน
.
1. อินเดียเป็นประเทศหนึ่งที่การรักษาระยะห่างทางสังคมกระทำได้ยาก เนื่องจากจำนวนประชากรต่อพื้นที่นั้นมีความหนาแน่น ในขณะที่การประชาสัมพันธ์และการขอความร่วมมือจากประชาชนไม่ประสบผลเท่าที่ควร ในหลายพื้นที่คนยังคงใช้ชีวิตกันแบบปกติ แม้ว่ารัฐบาลจะเข้มงวดกับการปิดเมือง ฉะนั้นเราจึงเห็นได้ชัดว่าเมืองใหญ่กลายเป็นเป็นแหล่งแพร่ระบาดสำคัญเช่น มุมไบ เดลี เชนไน เป็นต้น
.
ในขณะเดียวกันคนอินเดียยังมีข้อจำกัดอย่างมากในการเข้าถึงอุปกรณ์ป้องกันตัวเองไม่ว่าจะเป็นเจลล้างมือ หรือหน้ากากอนามัย สิ่งเหล่านี้ยิ่งส่งผลให้การส่งต่อเชื้อไวรัสเพิ่มขึ้นได้อย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้น เพราะเชื้อโควิด19 ในอินเดียนั้นส่วนใหญ่เป็นลักษณะไม่แสดงอาการทำให้เราไม่สามารถรู้ได้ว่าใครติดเชื้อหรือไม่
.
2. ปิดช้า และตรวจช้า ต้องบอกว่ามาตรการการปิดเมืองของอินเดียนั้นช้ากว่าการระบาดของโรคไปมาก กล่าวคือการนำเข้าเชื้อของอินเดียเริ่มขึ้นตั้งแต่ปลายเดือน กุมภาพันธ์ และเริ่มระบาดในวงกว้างช่วงต้นเดือนมีนาคม แต่มาตรการปิดเมืองของอินเดียเริ่มใช้ในปลายเดือนมีนาคม ซึ่งก็ถือว่าช้าไปมากกับจำนวนประชากรที่มีมากแบบอินเดีย
.
ยิ่งไปกว่านั้นในระหว่างที่อินเดียปิดเมือง ด้วยข้อจำกัดทางด้านอุปกรณ์ทางการแพทย์ส่งผลให้อินเดียไม่มีการตรวจหาเชื้อเชิงรุกอย่างทันท่วงที เพื่อจำกัดวงของผู้ติดเชื้อ ทำให้ผู้ติดเชื้อจำนวนมากหลุดรอด เห็นได้จากการตรวจหาเชื้อช่วงแรกของการปิดเมืองอยู่ในหลักหมื่นเท่านั้น แต่ในเดือนที่นี้มีจำนวนเป็นหลักแสน
.
และ3. แรงงานอพยพและการย้ายถิ่นเป็นตัวแปรใหม่ของการแพร่ระบาด จริงอยู่ที่หลายคนบอกการระบาดของอินเดียนั้นจำกัดวง แต่แนวคิดนี้ต้องเปลี่ยนใหม่เสียแล้ว หลังรัฐบาลอินเดียเริ่มอนุญาติให้แรงงานข้ามรัฐกลับบ้านผ่านบริการขนส่งต่าง ๆ ของรัฐทั้งรถบัสและรถไฟ
.
สิ่งที่เกิดขึ้นคือตัวเลขผู้ติดเชื้อเริ่มเพิ่มขึ้นในหลายรัฐซึ่งเป็นพื้นที่กลับบ้านของแรงงานเหล่านี้ ในบางรัฐไม่เคยมีรายตัวเลขผู้ติดเชื้อมาก่อน เช่นสิกขิม นากาแลนด์ เป็นต้น ปัจจุบันอาจเรียกได้ว่าผู้ติดเชื้อมีเกือบทุกรัฐของอินเดียเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และตัวเลขจะเริ่มกระจายไปตามรัฐเหล่านี้มากขึ้น
.
ที่เป็นเช่นนั้นเพราะอินเดียไม่ได้มีนโยบายในการจำกัดที่อยู่ของแรงงานข้ามรัฐเหล่านี้อย่างเป็นระบบเพียงพอ ฉะนั้นแรงงานเหล่านี้หากติดเชื้อก็จะนำเชื้อไปให้คนในครอบครัวหรือชุมชนเพิ่มเข้าไปอีก
.
ทั้ง 3 ปัจจัยข้างต้นถือเป็นประเด็นสำคัญซึ่งส่งเสริมกันและกัน อันนำมาซึ่งจำนวนตัวเลขที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของผู้ติดเชื้อในอินเดีย
.
***คำถามจึงยังมีอยู่ว่าตัวเลขผู้ติดเชื้อของอินเดียจะเป็นอย่างไร เพราะรัฐบาลอินเดียนั้นเริ่มมาตรการคลายปิดเมืองทั้งการคมนาคม และภาคเศรษฐกิจ ทั้งที่ยังไม่มีสัญญาณบวกใด ๆ จากจำนวนผู้ติดเชื้อเลย
.
การตัดสินใจนี้มีความเป็นไปได้ว่าจะทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อในอินเดียเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะมาตรการปิดเมืองที่ผ่านมาทำได้เพียงชะลอการติดเชื้อเท่านั้น
.
หรือแม้อินเดียจะมีการใช้แอพพลิเคชั่นเพื่อติดตามพลเมือง แต่สิ่งเหล่านี้ก็ยังไม่สามารถเข้าถึงชนชั้นแรงงานหรือคนจนระดับล่างของสังคมที่เข้าไม่ถึงโทรศัพท์และระบบอินเตอร์เน็ต
.
เราอาจกล่าวได้ว่าอินเดียมีทั้งข้อจำกัดและความเสี่ยงจำนวนมากในการรับมือกับสถานการณ์โรคระบาดที่เป็นอยู่ ซึ่งยังต้องมาลุ้นกันต่อไปว่าสถานการณ์จะดำเนินไปในลักษณะอย่างไร และอินเดียจะกลายเป็นแหล่งแพร่ระบาดใหญ่หรือไม่?