ไทยเรามาถูกทาง....!!
ผศ.ดร.วรัชญ์ ครุจิต หนึ่งในอนุกรรมการ ศบค. ในฐานะนักวิชาการด้านสื่อสารมวลชนจาก คณะนิเทศศาสตร์และนวัตกรรมการจัดการ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) โพสต์เฟซบุ๊กชี้แจง กรณี โชคดี ที่ไทยเลือกถูก : การตัดสินใจของไทยพลิกวิกฤตเป็นชัยชนะใน #สงครามโควิด19
ย้อนกลับไปในช่วงที่โควิดเริ่มสำแดงอานุภาพในเอเชียและในไทย ประเทศไทยมีทางเลือกว่าจะจัดการอย่างไร?
1.ล็อกดาวน์เข้มข้น ห้ามออกจากบ้านเลย รีบจบ รีบฟื้น
2.ปิดเมืองแบบประคับประคอง เข้มงวดในบางเรื่อง แต่ผ่อนคลายในสิ่งที่เสี่ยงน้อย
3. ปล่อยเสรี เพื่อรักษาเศรษฐกิจ และสร้างภูมิคุ้มกันหมู่
ที่สุดแล้ว ผู้นำไทย ตัดสินใจตาม #คำแนะนำของทีมแพทย์ เลือกแนวทาง "#สุขภาพนำเสรีภาพ" โดยผสมผสานระหว่างแบบที่ 1 กับแบบที่ 2 โดยเริ่มจากการปิดประเทศแบบค่อนข้างเข้มงวดในช่วงแรก และค่อยๆผ่อนคลายในช่วงต่อมา ส่วนมากแล้วไม่บังคับ แต่ขอความร่วมมือ และใช้มาตรการอื่นๆเสริมความเข้มงวด
จริงๆแล้วคำว่า "สุขภาพนำเสรีภาพ" มันไม่ใช่เรื่องใหม่เลย ไทยและก็น่าจะแทบทุกประเทศทั่วโลกก็ใช้หลักการนี้มาตลอดอยู่แล้ว เป็นสัญญาประชาคมที่รัฐมีหน้าที่ดูแลสวัสดิภาพของประชาชน โดยที่ประชาชนยอมสละเสรีภาพบางส่วนเพื่อให้อำนาจรัฐดำเนินการตามนั้น ไม่มีที่ไหนในโลกที่ประชาชนมีเสรีภาพทำได้ทุกอย่าง 100%
ดังนั้นหากพบคนเป็นโรคเราก็ต้องกักตัว เพื่อไม่ให้ไปติดผู้อื่น (ซึ่งก็คือการจำกัด "เสรีภาพ" เพื่อ "สุขภาพ" ของทั้งผู้ป่วยและคนทั่วไป) แต่เพราะสำหรับโควิด เราไม่รู้ว่าใครติดบ้าง จึงต้องจำกัดเสรีภาพในส่วนที่เกี่ยวข้องกับโอกาสที่ที่แพร่เชื้อได้ คนที่คิดตามหลักเหตุผลได้ก็น่าจะเข้าใจตรงนี้
ขณะที่ #รัฐจำกัดเสรีภาพ รัฐก็คิดถึงผลกระทบของการจำกัดเสรีภาพนั้น และพยายามเยียวยาช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบเท่าที่เป็นไปได้ โดยที่ไม่กระทบต่องบประมาณแผ่นดินในการดูแลประชาชนส่วนอื่นๆในภาพรวม
ส่วนการบอกว่า จำกัดเสรีภาพจนจะอดตายอยู่แล้ว สำหรับหลายคนก็คงจะจริง แต่ในยามนี้ ทุกคนเดือดร้อนกันทั่วโลก แต่ถ้ายังรักษาชีวิตไว้ได้ ก็ยังมีโอกาสอีกครั้งหลังผ่านวิกฤตไป นั่นคือเหตุผลที่รัฐต้องรักษาชีวิตของประชาชนเป็นอันดับแรก เพราะเห็นได้ชัดว่าโรคนี้ร้ายแรงถึงกับเสียชีวิตได้ ไม่ประมาทเหมือนหลายประเทศที่ห่วงเศรษฐกิจและวิถีชีวิตแบบเก่า หวังสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ (ทางเลือกที่ 3) กว่าจะรู้ตัวก็ตายกันหลายหมื่น ยิ่งกว่าสงคราม สุดท้ายก็รับไม่ไหวต้องเปลี่ยนทางอยู่ดี
ถ้าลองคิดย้อนกลับว่า ถ้าไทยเลือกเสรีภาพนำสุขภาพ ณ ขณะนี้ เราจะต้องมียอดคนตายหลักหมื่น ประเทศจะต้องวุ่นวาย ภาพศพตายเกลื่อน ประชาชนขวัญผวา ภาพลักษณ์เสียหายย่อยยับ และสุดท้ายก็ต้องปิดประเทศอยู่ดี และปิดหนักกว่าเก่าโดยไม่รู้จะได้ผ่อนคลายเมื่อไหร่ เมื่อกดดดันว่าต้องผ่อนคลาย ก็จะผ่อนคลายในขณะที่ยอดผู้ติดเชื้อยังหลักร้อย จะเกิดระลอกใหม่ขึ้นมาได้ตลอดเวลา ไม่ใช่หลักหน่วยเหมือนตอนนี้ ที่ลดความเสี่ยงของการผ่อนคลายไปได้เยอะมาก และเราค่อยๆฟื้นและพร้อมที่จะก้าวเดินได้ก่อนหลายๆประเทศอย่างมั่นคงกว่า
สรุปว่า เป็นโชคดีของคนไทยทุกคน ที่รัฐตัดสินใจเลือกทางนี้ ให้ #สุขภาพนำเสรีภาพ ด้วยเป้าหมายคือต้อง "ประคอง" สถานการณ์ไปให้พ้นวิกฤต โดยนำเอาจุดแข็งทางการแพทย์ของเราเป็นหัวหอก และจุดเด่นของการปรับตัวได้ในทุกสภาพแวดล้อมของคนไทย แก้ปัญหาไป ปรับตัวไป ทำให้เชื่อมั่นได้ว่าเราจะเป็นหนึ่งในประเทศ "ผู้ชนะสงคราม" ในมหันตภัยโควิดครั้งนี้