เปิดภารกิจสุดท้าย "สุรพงษ์" ตั้งศูนย์ช่วยเหลือ ปชช.ไม่จำเป็นต้องเป็นนักการเมือง
20 พ.ค. 2563 นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรี และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ถึงแก่กรรมด้วยโรคมะเร็งตับ ที่โรงพยาบาลศิริราชฯ ในวัย 67 ปี หลังจากเข้ารับการรักษาตัวมาโดยตลอด
ทั้งนี้หากย้อนไปเมื่อวันที่ 10 ต.ค.62 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้นัดฟังคำพิพากษาชั้นวินิจฉัยอุทธรณ์ คดีที่อัยการสูงสุดเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นจำเลยในความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการฐานปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 กรณีออกหนังสือเดินทางให้นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่เป็นจำเลยหลบหนีคำพิพากษาและหมายจับ
โดยนายสุรพงษ์ เดินทางมาฟังคำพิพากษาพร้อมทนายความ โดยมีรถโรงพยาบาลศิริราช มาคอยดูแลเรื่องสุขภาพ เนื่องจากนายสุรพงษ์ มีอาการป่วยโรคมะเร็ง ซึ่งองค์คณะวินิจฉัยอุทธรณ์ศาลฏีกา เห็นว่า คำอุทธรณ์ของจำเลยทั้ง 6 ประเด็น ฟังไม่ขึ้น โดยเฉพาะประเด็นคุณสมบัติกรรมการ ปปช.บางคน และในขอบเขตอำนาจ หน้าที่ การไต่สวนคดีของ ปปช.
นอกจากนี้ ยังรวมถึงอุทธรณ์ในประเด็นที่ว่า จำเลยไม่ใช่เจ้าหน้าที่ของรัฐและไม่ได้เป็นเจ้าพนักงานออกหนังสือเดินทางโดยตรง แต่ศาลเห็นว่า จำเลย เป็นถึงรัฐมนตรี เป็นผู้บริหารสูงสุดของกระทรวง ซึ่งสามารถให้คุณและโทษได้ มีส่วนรู้เห็นในการออกหนังสือเดินทาง ประเด็นเหล่านี้จึงฟังไม่ขึ้น จึงพิพากษายืนจำคุก 2 ปี
แต่ทั้งนี้ องค์คณะผู้พิพากษา เห็นว่า จำเลยมีพฤติกรรมและความประพฤติดี ประกอบกับไม่เคยต้องโทษมาก่อน และมีอาการเจ็บป่วยหลายโรค เช่น โรคมะเร็ง ที่คอและช่องท้อง ต้องรักษาตัวที่โรงพยาบาล จึงเห็นควรให้โทษจำคุกรอลงอาญาไว้ ตามที่จำเลยร้องขอ แต่ให้ปรับเพิ่มเป็นเงิน 1 แสนบาท
อย่างไรก็ตามเมื่อวันที่ 27 เม.ย.60 นายสุรพงษ์ ได้ยื่นหนังสือลาออกจากพรรคเพื่อไทยโดยมี พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ รักษาการหัวหน้าพรรคเพื่อไทย เป็นผู้รับหนังสือลาออก โดยนายสุรพงษ์ กล่าวว่า ตนยืนยันว่าการลาออกจากพรรคเพื่อไทยนั้น ไม่มีข้อขัดแย้งกับพรรคหรือกับบุคคลใดในพรรค ซึ่งภายหลังจากนี้มีความตั้งใจ จะดำเนินการช่วยเหลือประเทศชาติและประชาชน
“โดยไม่จำเป็นต้องเป็นนักการเมือง และไม่ต้องการให้เกิดข้อครหาว่าทำงานเพื่อรับใช้หรือเอื้อประโยชน์แก่พรรคเพื่อไทย ซึ่งมีหลักการว่าจะปฏิบัติตนอยู่ในหลักการของความถูกต้อง และยุติธรรมในสังคม จะพิทักษ์รักษาบนความถูกต้องโปร่งใส ภายใต้หลักนิติรัฐ นิติธรรม ในบ้านเมืองโดยไม่มีวาระแอบแฝงซ่อนเร้น”
นอกจากนี้นายสุรพงษ์ ยังกล่าวว่า จะมีการตั้งศูนย์หรือชมรมขึ้นในเร็วๆนี้ ซึ่งศูนย์นี้ไม่ใช่ศูนย์แสวงหาเงินระดมทุน ซึ่งตนมีแนวคิดร่วมกับกลุ่มที่มีความมีความเห็นตรงกัน ว่าเรื่องแรกที่จะกระทำนั้นคือการทำหน้าที่ ตรวจสอบความไม่ถูกต้องในกระบวนการทำงานต่างๆ ของรัฐบาล ,สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ และ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.)
“อีกทั้งการลาออกในครั้งนี้ เมื่อถูกถอดถอนจากสนช.แล้วนั้น จึงขอไปทำประโยชน์เพื่อสังคมซึ่งหากในอนาคตหลังห้าปีหากยังมีสุขภาพที่แข็งแรงก็จะกลับมารับใช้ประเทศชาติและสังคมต่อไป เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ตน ได้มีการพูดคุยกับนายทักษิณ ผ่านทาง โทรศัพท์ ถึงกรณีการลาออกในครั้งนี้ ซึ่งนายทักษิณก็เห็นด้วยกับแนวทางและการกระทำดังกล่าวของตน” นายสุรพงษ์ กล่าว