ปลัดคลังแฉ สื่อตกเป็นเหยื่อ คนป่วนอยากได้เงินบริจาค
ในวันที่ 1 พ.ค 63 เมื่อเวลา 11.00 น. นายประสงค์ พูนธเนศ ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยถึงกรณีที่การตั้งโต๊ะรับเรื่องเยียวยาผู้ไม่ได้รับสิทธิ์ 5,000 บาท บริเวณประตู 4 กระทรวงการคลังว่า สื่อมวลชนตกเป็นเครื่องมือให้คนที่จะมาหาเงิน ผู้ที่มาเรียกร้องบางคนมีเงินอยู่แล้ว หลายคนกระทรวงการคลังตรวจสอบแล้ว พบว่าได้เงินอยู่แล้ว แต่ก็มาร้องเรียนอีกเพื่อได้ต่างหากอีก แม้แต่กรณีคนที่ปีนรั้วกระทรวงการคลังก็ได้สิทธิ์อยู่แล้ว เพียงแต่เขาอยากได้มากกว่านั้น
บางคนต้องการขอให้โฆษณา บริจาคให้เขา เพราะมีกรณีตัวอย่างเกิดขึ้น ก็เลยใช้นักข่าวเป็นเครื่องมือ ถ้าเขาเดือดร้อนเรายินดีอยู่แล้ว เพราะเป็นหน้าที่เรา ที่กระทรวงการคลังต้องดูแล จ่ายเงินเยียวยา เราก็ทำทุกอย่าง เจ้าหน้าที่เราดูแลทุกคน ผมว่า 2 เดือนครึ่งแล้วที่ไม่ได้หยุดเสาร์-อาทิตย์เลย เราพยายามจะเร่งดูแลการจ่ายเงิน
เงินที่แจกรายละ 5,000 บาท ไม่ใช่เงินกระทรวงการคลัง เป็นเงินที่กู้มา เป็นเงินที่พวกเราต้องใช้หนี้ในอนาคต แต่คลังรู้ว่าเขาเดือดร้อน ก็ต้องช่วย คนที่เดือดร้อน คลังพร้อมช่วยทุกคน แต่คนที่ดราม่าบางคน น่าเป็นห่วง ไม่อยากให้สื่อมวลชนตกเป็นเครื่องมือคนที่มาดราม่า แต่คนที่มาคลังก็สงสาร เพราะยังไงก็ได้เงินอยู่แล้ว แต่ยังต้องเสียค่าใช้จ่ายมาอีก แต่ว่าถ้าอยากมาก็ให้มาไม่ว่ากัน
ทั้งนี้ทางมีการตั้งคำถามว่า การเปิดจุดรับเรื่องร้องเรียนเหมือนเป็นการเรียกแขกหรือไม่ นายประสงค์ตอบว่า ไม่อยากพูดอะไรมากกว่านั้น เพราะเป็นข้าราชการประจำ ข้าราชการประจำมีหน้าที่ทำตามคำสั่ง ทำตามนโยบาย โดยเมื่อมีนโยบายอะไรก็ต้องทำตามนโยบาย ส่วนมาตรการดูแลผู้มาร้องเรียนที่หน้ากระทรวงไม่มีระยะห่างทางสังคมนั้น กระทรวงการคลังให้ตำรวจมาดูแลสถานการณ์ กะอยู่แล้วว่าต้องเกิดปัญหาพวกนี้ จึงพยายามที่จะไม่ให้มีปัญหาพวกนี้
แต่ในเมื่อคนคิดว่าเราไม่ดูแลจริงๆ มาแล้วเราก็ไม่ได้ทำอะไรไปมากกว่าการเปิดเว็บไซต์ให้ดู ให้เห็นว่าเขาอยู่ในสถานะไหน แต่ว่าสิ่งที่ห่วงคือ ไม่อยากให้นักข่าวไปเป็นเครื่องมือของคนดราม่าหวังรายได้พิเศษ จึงเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง เป็นการเล่าความในใจให้ฟัง เราพยายามแล้ว แต่ที่เหลือเขาต้องเข้าใจด้วย เราพยายามจริงๆ เราไปเดินบอกเป็นระยะ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย (รปภ.) ก็พยายามพูด แต่พูดแล้วคนที่หนึ่งผ่านไป คนที่สองก็มาใหม่ คือจัดได้ แต่คนไทยถ้าเกิดขัดใจแล้วจะเกิดอะไรขึ้นมาก็ไม่รู้
ถ้าคุยกับคนรู้เรื่องก็รู้เรื่อง แต่คุยกับคนที่มีเจตนาจะไม่รู้เรื่องก็จะไม่รู้เรื่อง แล้วก็คนมานี่มีพวกพร้อมที่จะไม่รู้เรื่อง ตั้งใจจะไม่รู้เรื่องก็มี” วันก่อนหน้าก็มีป้าคนหนึ่งมา เดินแล้วเซจะล้ม ก็มีรปภ.ผู้หญิงประคองไว้ เขาก็กล่าวร้าย หาว่ารปภ.จะไปทำร้ายร่างกายเขา เขาจะแจ้งความก็วุ่นวาย อาละวาดอยู่ครึ่งวัน ตำรวจก็พาไปดูขากะเผลก ทำให้รปภ.ยิ่งกลัว กลัวประชาชนไม่รู้ใครจะมาเล่นบทอะไร ขอเล่าในฐานะที่อยู่ในกระทรวงการคลังก็เห็นข้อเท็จจริงด้วยกัน
แม้กระทั่งวันที่ตนลงไปรับ ตนก็จำหน้าได้ คนที่มา พวกเราลุยหรือบางคนมาร้องไห้ ตนจำหน้าได้ว่าเป็นพวกการเมืองอีกพรรคหนึ่ง เพราะเคยเห็นว่าหน้านี้ใช่ แล้วเราจะทำอะไร เราเป็นข้าราชการ เราต้องอดทนที่จะพยายามชี้แจง และชี้แจงจบแล้วเราบอกแล้วว่าเรากลัวเรื่องโรคระบาดจริงๆ เพราะไม่ใช่สถานการณ์ปกติ ข้าราชการถ้าเราให้เขากรอกแล้วกลับไปก็จบ แต่บางคนไม่ยอมจบ โรคระบาดเป็นสิ่งที่เรากังวลมากๆ ตอนนี้เรื่องการรักษาระยะห่างทางสังคมเป็นเรื่องที่อ่อนไหวมาก
เชื่อว่าประชาชนส่วนมากไม่เข้าใจ เช่นกรณีไปเปิดบัญชีธนาคารออมสิน คนเข้าใจว่าจะได้เงินเร็ว แห่ไปไม่มีคำว่ากลัวโควิด-19 เลย จนต้องประสานสั่งให้ปิดธนาคาร เพราะกลัวโรคระบาดเกิดขึ้น ไม่ใช่ว่าไม่อยากบริการ แต่บริการจะเกิดอันตรายในการแพร่โรคระบาด เพราะคนมาเบียดเสียด ตะโกน ไม่ใส่หน้ากาก อันตรายจริงๆ ประเทศเราต้องอยู่ในสังคมที่ใส่หน้ากากอีก 1 ปี ต้องปรับตัวเองให้เข้าใจกับโรคใหม่
สิ่งที่อยากฝากสื่อคือ เวลานำเสนออยากให้เสนอมุมที่ให้เกิดความผูกพัน ความเห็นใจกัน อย่าให้เกิดมุมความเกลียดชังขึ้นมา มันไม่ได้ดีกับประเทศเรา การพาดหัวข่าวก็อยากจะฝากด้วย อย่าเป็นเครื่องมือให้เขามาหากินจากความเห็นใจที่เรามี อย่างป้าที่ร้องไห้อย่างเดียวไม่ฟังอะไร ก็ได้ไป 7-8 หมื่นบาทจากที่ดาราให้มา ดูหน้าก็จำได้ อีกคนหนึ่งก็มาไม่คุยอะไรเลย ตะโกนโหวกเหวกอย่างเดียว ผมก็จำหน้าได้












