เพราะเหตุใด UTM ถึงมีความสำคัญต่อการสร้างเว็บไซต์?

คุณเคยรู้มาก่อนไหมว่า traffic ที่เข้ามาในเว็บไซต์ของเรานั้นมีที่มามาจากไหน สิ่งที่เราสามารถทำได้นั้นคือการสร้าง UTM นั่นเอง แต่ว่า UTM นั้นคืออะไร ไปดูความหมายกันก่อนเลย

UTM คืออะไร?

UTM หรือ  Urchin Tracking Module เป็น parameter ที่เราวางต่อท้าย URL ซึ่งเป็น URL ของหน้า Landing page เพื่อนำข้อมูลมาเพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า ว่ามาจากไหน มาได้อย่างไร และทำไมถึงมา?

UTM ประกอบด้วย…

1. Website URL หรือ link ของ เว็บไซต์ที่เราต้องการวิเคราะห์ข้อมูล
2. UTM_Source เป็นการระบุให้เราทราบว่ามาจากแหล่งไหน เช่น สื่อ Social Media หรือ Google เป็นต้น
3. UTM_Medium เป็นส่วนที่ต่อจาก source หรือสื่อที่ใช้ในการโฆษณาว่าคนนั้นกด link มาจากไหน เช่น source คือ Facebook ส่วน medium ก็คือ โพสต์ ทำให้เราทราบว่าคนที่กด link นี้นั้นมาจากโพสต์ที่ลงอยู่บนสื่อใน Facebook
4. UTM_Campaign ชื่อ campaign หรือ สโลแกน ที่เราใช้ในการโฆษณา, ส่งเสริมการขาย เป็นต้น
5. UTM_Term การระบุ keyword ในการค้นหาที่มีการเสียค่าใช้จ่าย หากคุณติดแท็ก Campaign สำหรับ keyword ที่ได้ซื้อไว้ โดยควรใช้ UTM_Term เพื่อระบุ keyword ดังกล่าวด้วย
6. UTM_Content ใช้ในการแยกเนื้อหาของบทความที่มีความคล้ายเคียงกัน จาก source และ medium เหมือนกัน

ซึ่งการสร้างเว็บไซต์ครั้งหนึ่งนั้น เราอาจจะเคยเจอปัญหาเวลาเราจะดู Google analytics แล้วเราไม่รู้ว่า traffic ที่เข้ามาจากไหน หรือสื่อไหนบ้าง เราสามารถทำได้ด้วยการใช้ UTM ที่จะช่วยให้เราสามารถวัดผลของ campaign ที่เราได้ทำการโฆษณาผ่านสื่อต่างๆ ได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น เช่น สื่อ Social Media ที่เรานั้นได้ทำการโฆษณาผ่านโพสต์ใน Facebook เป็นต้น 

เราจึงมาเสนอวิธีการสร้าง UTM ง่ายๆด้วยการใช้ Google Analytics โดยเราสามารถทำได้โดย

1. คลิกที่ link นี้ https://support.google.com/analytics/answer/1033867
2. เลื่อนลงมาจนเจอคำว่า URL builder form แล้วกรอกข้อมูลดังนี้

• Source คือ แหล่งที่มา หรือ เว็บไซต์และสื่อต่างๆ เช่น Social media: Facebook หรือ เว็บไซต์/ เว็บบอร์ดต่างๆ​: mthai, sanook
• Medium คือ วิธีที่เราใช้ในการโฆษณา เช่น โพสต์, banner เป็นต้น
• Campaign คือ ชื่อแคมเปญทางการตลาดของเรา 

และแล้วคุณก็จะได้ URL ใหม่ที่มีการใส่ UTM แล้ว จากนั้นคุณก็สามารถนำเอา URL นี้ไปแชร์ตามสื่อต่างๆ แล้วเมื่อมีคนมาคลิกแล้ว ข้อมูลจะถูกส่งไปที่ Google analytics ว่าผู้ที่เยี่ยมชมเว็บไซต์นั้นมาจาก Source, Medium และ Campaign ตามที่เรากำหนด

ประโยชน์ของ UTM

ทำให้เราได้เห็นถึงประสิทธิภาพของหน้าเว็บไซต์ว่ามีคนเข้ามาเยี่ยมชมเป็นจำนวนเท่าไหร่ เวลาที่ใช้อยู่บนหน้าเว็บไซต์นานไหม และพวกเค้ารู้จักเว็บไซต์ของเราได้จากแหล่งไหนมากที่ เมื่อคุณทราบถึงข้อมูลและวิเคราะห์ได้แล้ว ก็จะทำให้คุณสามารถวางกลยุทธ์การตลาดให้ออกมาได้ดีมากยิ่งขึ้น

• ได้ข้อมูลที่แม่นยำชัดเจน
• ทราบได้ว่าสื่อที่ใช้ในการลงข้อมูลนั้นได้ผลแค่ไหน
• ทราบผลลัพธ์ของ campaign

นอกจากการทราบถึงประโยชน์ของการทำ UTM แล้ว ก็ยังมีสิ่งที่ต้องระวังด้วยเช่นกัน เช่น

• หลีกเลี่ยงการใช้ตัวพิมพ์เล็ก-ใหญ่ (พยายามใช้ให้เหมือนกันตลอด) เพราะการใช้ตัวอักษรที่ขนาดต่างกัน อาจส่งผลถึงการเก็บข้อมูล ออกเป็น 2 ส่วน ทั้งๆที่เป็นเรื่องเดียวกัน แต่เราคีย์ค่าต่างกัน ทำให้ตัวเก็บข้อมูลแยกหัวข้อออกให้อัตโนมัติ)
• หลีกเลี่ยงการใช้ spacebar ในค่า UTM และใช้เครื่องหมาย (-) แทน 

จะเห็นได้ว่าการสร้าง UTM นั้นง่ายนิดเดียว เป็นตัวช่วยที่จะทำให้คุณนั้นสามารถเก็บข้อมูลของผู้ที่มาเข้าชมเว็บไซต์ของได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น และทำให้คุณสามารถแยกประเภทของข้อมูลได้ง่ายยิ่งขึ้น 

บทความโดย - Yes Web Design Studio

บริการออกแบบเว็บไซต์ในกรุงเทพฯ – นักออกแบบเว็บไซต์ในประเทศไทย – ผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบเว็บไซต์ ต้องที่นี่เท่านั้น Yes Web Design Studio

ติดตามเราเพิ่มเติมได้ที่

Facebook : yeswebdesignstudio

Instagram : yeswebdesign_bkk

Twitter : yeswebdesignbkk