คุณแม่ถึงจุกอก หลังลูกชายวัย 5 ขวบโดนโควิดเล่นงาน เอ่ยคำถามสุดบีบหัวใจด้วยความไร้เดียงสา
ยังคงสร้างผลกระทบให้กับคนไทยและทั่วโลกอย่างต่อเนื่องจริงๆ สำหรับโรคปอดอักเสบชนิดรุนแรงที่เกิดจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือ ไวรัสโควิด -19 ที่กำลังระบาดในจีน โดยเริ่มมีการรายงานว่าพบผู้ป่วยโรคนี้ครั้งแรกเมื่อเดือน ธ.ค. ปี 2562 ที่เมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย์ ตอนกลางของประเทศจีน จนตอนนี้โรคไม่ได้จำกัดอยู่ในพื้นที่ดังกล่าว แต่ยังกระจายไปทุกมณฑลและเขตการปกครองอื่นๆ ของจีน และหลายประเทศทั่วโลก ซึ่งทำให้มีผู้ติดเชื้อแล้วมากกว่า 468,900 คน และผู้เสียชีวิตแล้วกว่า 21,200 และมีท่าทีว่าจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ประเทศอังกฤษถือเป็นอีกหนึ่งชาติโดนไวรัสโควิดเล่นงานอย่างหนักอีกประเทศซึ่งข้อมูลผู้ติดเชื้อของวันที่ 26 มีนาคม เวลา 11.11 น.(ตามเวลาประเทศไทย) ได้เผยยอดผู้ติดเชื้อสะสมล่าสุด 9,529 ราย (เพิ่มขึ้นล่าสุด 1,452 ราย ) เสียชีวิต 465 ราย (เพิ่มขึ้น 43 ราย) และรักษาหายได้เพียง 135 ราย
เกี่ยวกับเรื่องนี้ เว็บไซต์เมโทร เผยเรื่องราวจาก ลอเรน ฟูลบรูก คุณแม่วัย 30 ปี จากเคาท์ตีวูซสเตอร์เชอร์ ในอังกฤษ ที่ได้ออกมาเล่าเรื่องราวเจ็บปวดหัวใจที่สุดของคนเป็นแม่ เมื่อทราบว่า อัลฟี ลูกชายวัยเพียง 5 ขวบ ถูกโควิด 19 เล่นงาน เพื่อให้ครอบครัวอื่น ๆ ได้ตระหนักถึงอันตรายของเชื้อไวรัสนี้ เพราะแม้แต่เด็กที่แข็งแรงสมบูรณ์ ไม่มีปัญหาสุขภาพ ก็ยังสามารถติดเชื้อไวรัสโคโรนา และมีอาการรุนแรงได้
อัลฟีเริ่มมีอาการผิดปกติตั้งแต่วันที่ 16 มีนาคม ที่ผ่านมา เขาเริ่มเสียงแหบ ตอนแรกเธอคิดว่าลูกชายอาจจะกลืนคลอรีนในสระจากชั้นเรียนว่ายน้ำมากเกินไป แต่หลังจากนั้นเขาก็ไอและอาการแย่ลง มีไข้ 38.4 ต่อมามีไข้สูง มากกว่า 40 สูงสุดถึง 42.3 อีกทั้งยังมีอาการประสาทหลอน ปวดหัวร้องไห้ไม่หยุด อาเจียน กินไม่ได้ และแทบจะไม่ขับถ่าย
อาการของอัลฟีรุนแรงมากขึ้น จนถูกนำตัวนำส่งโรงพยาบาล และผลการตรวจ COVID-19 ปรากฏออกมาว่า เป็นบวก ลอเรน เผยผ่านทางเฟซบุ๊กของเธอ ระบุว่า อัลฟีมีระดับน้ำตาลในเลือดเพียง 3.7 อัตราการหายใจอยู่ที่ 18-20 และอัตราการเต้นของหัวใจอยู่ที่ 180 มีเหงื่อไหลออกมาท่วมตัว แต่กลับสั่นเหมือนหนาว หายใจหอบ และมีอาการกลัวแสง อัลฟีร้องถามเธอว่า “แม่ครับผมจะตายไหม”
ทั้งนี้ นอกจากนี้ ลอเรนยังเผยความรู้สึกถึงโรงพยาบาลว่าราวกับเป็นเมืองร้างน่ากลัว บุคลากรสวมใส่ชุดและหน้ากากป้องกันเชื้อไว้ตลอดเวลา ทางทีมแพทย์ได้พาอัลฟีแยกตัวไป พร้อมกับให้ยา จนเมื่ออุณหภูมิร่างกายลดลง อาการความรุนแรงก็บรรเทาลง หลังจากนั้นทางโรงพยาบาลก็อนุญาตให้อัลฟีกลับบ้านได้ แต่ต้องปฏิบัติมาตรการแยกตัวอย่างจริงจัง
ลอเรนปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างดี จนผ่านไป 8 วัน อาการของอัลฟีเริ่มดีขึ้น เขาเริ่มอยากกินอาหาร แต่ยังมีอาการไอและไข้เล็กน้อย แต่ถึงอย่างไรก็ดี เธอก็ยังคงให้ลูกชายแยกตัวไปก่อน เป็นช่วงเวลาที่บีบหัวใจของผู้เป็นแม่มากจริง ๆ แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ย้ำอีกครั้งว่าเธอไม่ได้มาโพสต์เรื่องราวเพื่อต้องการความสงสารหรือเห็นใจ แต่เธอแค่ต้องการเตือนว่าอย่าประมาทจริง ๆ