โรงงานหน้ากากอนามัย ตัวช่วยบุคลากรทางการแพทย์ ยุคโควิด19 แพร่ระบาด
ในขณะที่ทั่วโลกกำลังทยอยปิดประเทศ เพื่อลดการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสโคโรน่า หรือ โรคโควิด-19 หลายภาคส่วนในประเทศไทยก็พยายามเรียกร้องให้รัฐบาลทำการปิดประเทศเช่นกัน แม้ตอนนี้ไทยยังไม่ประกาศยกระดับสถานการณ์เข้าสู่ระดับ 3 แต่การตรวจพบผู้ติดเชื้อก็เพิ่มมากขึ้น ซึ่งเกิดจากระบบการตรวจวัดที่ดีขึ้น
ท่ามกลางการแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้มีการประเมินสถานการณ์หลายด้าน เช่น จากสมมติฐานว่า หนึ่งคนสามารถทำให้คนอื่นป่วยได้อีก 2.2 คน ดังนั้น ในหนึ่งปีของการระบาดอาจทำให้มีผู้ติดเชื้อในประเทศได้สูงถึง 16.7 ล้านคน นอกจากนี้ยังพบปัญหาหลัก ๆ อีกหลายประการ เป็นต้นว่าทรัพยากรทางด้านการรักษายังไม่เพียงพอ เช่น เตียงโรงพยาบาลที่จะรองรับผู้ป่วยจำนวนมาก จำนวนบุคลากรทางการแพทย์ และที่สำคัญคือหน้ากากอนามัย
ด้วยเทคโนโลยีการสื่อสารในปัจจุบันทำให้การติดตามข้อมูลข่าวสารจากทั่วโลกเป็นแบบเรียลไทม์ จึงกลายเป็นดาบสองคม ซึ่งคมหนึ่งที่มีผลอย่างเห็นได้ชัดคือก่อให้เกิดความตื่นตระหนก แล้วเฮโลทำตามกัน ที่เกิดขึ้นในช่วง 2-3 วันนี้ก็คือ การแห่กักตุนอาหาร ไม่นับรวมก่อนหน้านี้ที่มีการกักตุนหน้ากากอนามัย จนทำให้ขาดตลาด แม้แต่บุคลากรทางการแพทย์ที่จำเป็นต้องใช้ก็แทบไม่มีสำรอง
สิ่งเหล่านี้เป็นเหตุผลที่ผู้ประกอบการทั้งหลายต้องออกมาช่วยบรรเทาความตื่นตระหนกของประชาชนว่า ประเทศไทย คนไทยจะไม่ขาดอาหาร จึงไม่จำเป็นต้องกักตุน ขณะที่การขาดแคลนหน้ากากอนามัยนั้น ก็มีเอกชนรายใหญ่อย่างเครือเจริญโภคภัณฑ์ หรือ ซีพี เสนอตัวเข้ามาช่วยบรรเทาปัญหา ด้วยการทุ่มงบประมาณขั้นต้น 100 บาท ตั้งโรงงานผลิตหน้ากากอนามัยให้เสร็จภายใน 5 สัปดาห์ โดยจะระดมสรรพกำลังที่มีอยู่ทั่วโลก จัดหาเครื่องจักร บุคลากร และวัตถุดิบคุณภาพ มาทำให้สำเร็จ เพื่อแจกจ่ายหน้ากากอนามัยให้กับบุคลากรทางการแพทย์ และประชาชนทั่วไปที่ขาดโอกาสในการเข้าถึง ซึ่งตรงนี้มีความสำคัญมาก เพราะเมื่อโรงงานเปิดทำการได้ จะสามารถผลิตหน้ากากอนามัยได้วันละ 1 แสนชิ้น หรือเดือนละ 3 ล้านชิ้น
หากทุกอย่างเป็นไปตามแผน โรงงานผลิตหน้ากากอนามัยของซีพีจะช่วยให้ประเทศมีหน้ากากอนามัยสำรองไว้สำหรับบุคลากรทางการแพทย์ ซึ่งนั่นหมายถึง แพทย์และพยาบาลจะมีหน้ากากอนามัยเพียงพอที่จะป้องกันตนเอง และให้การดูแลผู้ติดเชื้อได้อย่างแข็งแรงต่อไป ที่สำคัญคือ แพทย์และพยาบาลจะมีหน้ากากอนามัยไว้เปลี่ยนได้ด้วย จากปัจจุบันใช้ได้แค่วันละหนึ่งชิ้นเท่านั้น หากมีเปลี่ยนจะทำให้ลดอัตราการติดเชื้อไปยังคนไข้หรือผู้อื่นได้ และย่อมหมายถึงการลดอัตราการติดเชื้อโดยรวมด้วย
อย่างไรก็ตาม ในระหว่างที่ประเทศไทยและทั่วโลกยังอยู่ในภาวะวิกฤติ ขาดทรัพยากรอย่างเพียงพอในการหยุดยั้งการแพร่กระจายของเชื้อโควิด-19 ประชาชนทั่วไปสามารถลดความเสี่ยงการติดเชื้อได้ด้วยการดูแลตนเองอย่างเคร่งครัด เช่น
- ล้างมือบ่อย ๆ ด้วยสบู่และน้ำอย่างน้อย 20 วินาที ซึ่งวิธีการล้างมือที่ถูกต้องจะช่วยป้องกันตนเองอย่างมีประสิทธิภาพ
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสดวงตา จมูก และปาก ขณะที่อยู่ในที่สาธารณะ
- ไอหรือจามบนข้อศอกข้างที่พับ เพื่อหยุดยั้งการแพร่กระจายของเชื้อโรคในอากาศหรือบนมือ
- ทำความสะอาดเครื่องใช้ที่ต้องหยิบจับประจำบ่อย ๆ เช่น โทรศัพท์มือถือ
- ไม่ออกไปในที่พลุกพล่าน