♦️โสฬส ขุนโจรสองประเทศ♦️ ตอนที่ 2
ต่อมานายโสฬสได้มาปรากฏตัวอยู่ในกรุงเทพฯ เพื่อตระเวนหางานทำ แม้จะพยายามสักเท่าไรก็หางานทำไม่ได้ เขาเดินเตะฝุ่นอยู่หลายวัน
ในที่สุดหันไปยึดอาชีพขี่สามล้อถีบรับจ้าง ซึ่งในยุคนั้นยังเป็นพาหนะยอดนิยมของคนกรุงเทพฯ
จึงมีรายได้พอประทังชีวิตให้อยู่รอดไปวันหนึ่ง ส่วนที่พักได้อาศัยอยู่กับคนรู้จักที่วัดปรินายก
เชิงสะพานผ่านฟ้าลีลาศ ถนนราชดำเนินกลาง เขตพระนคร
ภายในวัดปรินายกมีศิษย์วัดบางกลุ่มชอบฝึกซ้อมมวยอยู่เป็นประจำ โสฬสจึงไปเข้าร่วมกลุ่มด้วย
และมีโอกาสตระเวนชกมวยหาเงินตามวัดต่างๆ
ชนะบ้าง แพ้บ้างสลับกันไปตามแต่โอกาสจะอำนวย
ในปี พ.ศ.๒๔๙๔ พล.ต.ท.เผ่า ศรียานนท์ ได้ขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นอธิบดีกรมตำรวจคนที่ ๙ ของไทย และได้สร้างความเจริญรุ่งเรืองให้กับวงการตำรวจไทยไว้มาก ชนิดไม่เคยมีใครทำมาก่อน
จนได้รับสมญานามว่า บุรุษเหล็กแห่งเอเชีย ความเป็นผู้นิยม”ผู้กว้างขวาง”ของอธิบดีเผ่าเป็นที่รู้จักกันดี
จนครั้งหนึ่งได้ใช้บาร์กิ่งแก้วที่ข้างโรงภาพยนตร์เฉลิมกรุงที่ตนเองเป็นผู้ดูแลอยู่ ในสมัยตั้งเป็นกองบัญชาการซ่องสุมผู้คน เพื่อประชุมหารือในการทำรัฐประหาร โสฬสมีความตั้งใจจะฝากตัวกับอธิบดีเผ่า แต่แล้วก็มีเหตุขัดข้อง จึงได้เลิกล้มความตั้งใจ
หลังจากที่สงครามมหาเอเชียบูรพายุติลง ประเทศฝรั่งเศสเป็น ๑ ใน ๕ ประเทศมหาอำนาจที่อยู่ฝ่ายชนะ ทำให้มีสิทธิอำนาจอยู่เหนือภาคพื้นอินโดจีน โดยเฉพาะกับประเทศเวียดนาม กัมพูชาและลาว ด้วยเหตุนี้กลุ่มคนลาวผู้รักชาติจำนวนหนึ่ง ภายใต้การนำของเจ้าสุภานุวงศ์(เจ้าชายแดง) ซึ่งไม่พอใจการปกครองของฝรั่งเศส จึงได้ตั้งขบวนการต่อต้านฝรั่งเศสเพื่อเอกราช
เจ้าสุภานุวงศ์ ประสูติเมื่อ พ.ศ.๒๔๕๕ เป็นโอรส ๑
ใน ๒๓ พระองค์ของสมเด็จเจ้ามหาอุปราชบุญคงแห่งหลวงพระบางกับหม่อมห้ามลำดับที่ ๑๑
ในปี พ.ศ.๒๔๘๙ เจ้าสุภานุวงศ์ต่อสู้กับฝรั่งเศสจนได้รับบาดเจ็บที่เมืองท่าแขก จึงหนีข้ามแม่น้ำโขงมายังฝั่งประเทศไทย
ต่อมาปี พ.ศ.๒๔๙๒ ทรงก่อตั้งกองทัพปลดปล่อยประชาชนลาวขึ้น ในเขตพื้นที่แขวงซำเหนือ ภายใต้การสนับสนุนของโฮจิมินท์ ซึ่งต่อมาเป็นขบวนการคอมมิวนิสต์ประเทศลาว
สมรภูมิในลาวถึงจะเล็กกว่าสงครามมหาเอเชียบูรพา แต่ต้องถือเป็นส่วนสำคัญของสมรภูมิอินโดจีน เพราะมีการสู้รบกันทุกรูปแบบทั้งทางตรงและทางอ้อม รัฐบาลไทยจึงจัดส่งทหารจำนวนหนึ่งไปร่วมรบ มิใช่เพราะรักหรือรบเพื่อชาวลาว มิใช่เพราะอเมริกา แต่เป็นการสกัดกั้นลัทธิคอมมิวนิสต์ มิให้ข้ามเขตแดนเข้ามาทำร้ายประเทศไทย
นายโสฬสผู้เก่งกล้าสามารถในเชิงการต่อสู้
จึงถูกทาบทามให้ไปเข้าร่วมขบวนการดังกล่าวด้วย ซึ่งโสฬสไม่รอช้ารีบตอบตกลงทันที เพราะประเทศลาวเป็นบ้านพี่เมืองน้องกับไทย แม้แต่ตัวโสฬสก็เป็นชาวอีสานมีผิวพรรณและสำเนียงภาษาไม่ได้แตกต่างกัน สิ่งสำคัญที่สุด คือ นายโสฬสต้องการไปจากแผ่นดินไทย เพื่อหลบลี้หนีเงื้อมมือกฎหมาย
โสฬสกับเพื่อนชาวอีสานอีกหลายสิบคนที่เดินทางมาจากจังหวัดต่างๆ ถูกส่งไปฝึกอาวุธและยุทธวิธีแบบกองโจร โดยมีนายทหารญี่ปุ่นจำนวนหลายคน ซึ่งหลังจากแพ้สงครามแล้วยังไม่ยอมกลับประเทศคงอยู่รับจ้างเป็นครูฝึกทหารให้กับกองทัพลาวอิสระ
พระยาสีทนทหารลาวอิสระทำการต่อสู้อยู่ทางแขวงอัตบือ แขวงเซกอง เมืองท่าแตง แขวงสาละวัน เมืองเหล่างาม เขตติดต่อกับแผ่นดินเวียดนาม นายโสฬส กับเพื่อนทหารรับจ้างเคยถูกส่งเข้าไปร่วมรบอยู่หลายครั้ง จึงได้สำแดงฝีมือที่แข็งแกร่งเหนือทหารฝรั่งเศสผู้พยายามยึดอายุความเป็นเจ้าเข้าครองอยู่บนแผ่นดินลาว
จากการที่นายโสฬสต้องออกตระเวนไปทั่วแผ่นดินลาวและเวียดนาม ทำให้เขามีโอกาสไปในหมู่บ้านดอนเขียว ซึ่งตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขงในประเทศลาว อยู่ตรงข้ามกับบ้านแสนพันหมันหย่อม อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนมของไทย
ในหมู่บ้านแห่งนั้นโสฬสได้พบกับสาวงามมีนามว่า”สุภาพ”หรือ สำลี บุตรสาวคนเดียวของผู้ใหญ่บ้าน แม้เขาจะเป็นนักรบผู้กระหายเลือด ผ่านกลิ่นคาวเลือดและความตายมาอย่างโชกโชน แต่เขาก็มีความรักและความรู้สึกเช่นปุถุชนทั่วไป รู้จักทะนุถนอม มีวาจาอ่อนหวาน จึงไม่เป็นอุปสรรคด้านความรัก
ในที่สุดหนุ่มสาวทั้งสองได้แต่งงานกันตามประเพณี อยู่กินเป็นคู่สามีภรรยากัน ต่อมานายโสฬสได้รับคำสั่งให้ไปปฏิบัติการครั้งสำคัญ
มันเป็นงานลับสุดยอดของกองทัพลาวอิสระนั่นคือ”งานจารกรรมในนครเวียงจันท์” แต่นายโสฬสหารู้ตัวไม่ว่า ขณะที่เขากำลังใช้ความพยายามในงานจารกรรมอยู่นั้น หน่วยสันติบาลของทหารฝรั่งเศสเริ่มรู้ตัวและจ้องจับตามองเขาอยู่เงียบๆตลอดเวลา
แผนการจับกุมได้เริ่มขึ้นในวันหนึ่งขณะที่นายโสฬสได้พบกับเพื่อนคนหนึ่ง ซึ่งคุ้นเคยและพบหน้ากันในนครเวียงจันท์อยู่เสมอ และเป็นคนไทยอีสานที่เข้ามาแสวงโชคในนครเวียงจันท์ เพื่อนผู้นั้นปรารภกับนายโสฬสว่า “ผมมีอาวุธเถื่อนจำนวนมากพร้อมที่จะนำมาขาย แต่ผมไม่มีแหล่งที่จะรับซื้ออาวุธสงครามเหล่านั้น หากคุณสนใจสามารถติดต่อหาคนซื้อจะร่ำรวยเป็นเศรษฐีแน่”
เลือดของความเป็นไทย ทำให้นายโสฬสเชื่อเพื่อนอย่างสนิทใจ โดยจะทำประโยชน์ให้กับกองกำลังลาวอิสระ จึงนัดเพื่อนคนนั้นอีก ๒-๓ วันข้างหน้าให้มาพบกันที่ริมโขงแห่งหนึ่งในตอนกลางคืน
๓ วันต่อมาอันเป็นการนัดหมายการซื้อขายอาวุธ โสฬสพร้อมด้วยคนของเขาจำนวนหนึ่งมีอาวุธครบมือและเงินค่าอาวุธจำนวนหนึ่ง ไปซุ่มรออยู่ที่จุดนัดพบบริเวณริมฝั่งโขง เหนือนครเวียง จันทน์ขึ้นไปหลายสิบกิโลเมตร ในแม่น้ำโขงมีเรือชะล่าลำหนึ่งลอยตรงเข้ามาหาฝั่ง จุดที่โสฬสกับพวกซุ่มคอยอยู่ เสียงคนจากในเรือตะโกนเรียกตามระหัสที่ตกลงกันไว้ ทำให้โสฬสร้องตอบไปตามระหัสเช่นเดียวกัน
ต่อจากนั้นโสฬสกับพวกก็ออกจากที่ซ่อนเดินตรงไปที่เรือ สิ่งที่อยู่ในเรือชะล่าลำนั้นแทนที่จะเป็นอาวุธสงครามตามที่ต้องการ กลับกลายเป็นทหารฝรั่งเศสจำนวนหนึ่งถืออาวุธทันสมัย โดยปากกระบอกปืนทั้งหมดเล็งตรงมายังพวกเขาทั้งหมด นั่นหมายถึงอิสรภาพที่มีอยู่ได้สิ้นสุดลง
โปรดติดตามตอนต่อไป....



