การบังคับโทษประหารชีวิตตามกฎหมายไทย
รู้จักโทษประหารชีวิตในกฎหมายไทย เงื่อนไขและข้อยกเว้นในกรณีต่างๆ
1. โทษประหารชีวิต เป็นโทษสูงสุดตามกฎหมายไทย จากเดิมใช้วิธียิงเป้า มาตรา 19 ของประมวลกฎหมายอาญา เขียนไว้ว่า ผู้ใดต้องโทษประหารชีวิต ให้เอาไปยิงเสียให้ตาย แต่ในปี 2546 รัฐแก้ไขกฎหมายอาญา เปลี่ยนวิธีการทำให้ตาย โดยเขียนมาตรา 19 ใหม่ว่า ผู้ใดต้องโทษประหารชีวิต ให้ดำเนินการด้วยวิธีฉีดยาหรือสารพิษให้ตาย
2. ในการแก้ไขกฎหมายเมื่อปี 2546 ยังไม่ให้ใช้โทษประหารชีวิต กรณีที่เด็กเป็นผู้กระทำความผิดด้วย เขียนเพิ่มเติมเป็นมาตรา 18 วรรคสองและวรรคสาม "โทษประหารชีวิตและโทษจำคุกตลอดชีวิตมิให้นำมาใช้บังคับแก่ผู้ซึ่งกระทำความผิดในขณะที่มีอายุต่ำกว่าสิบแปดปี
ในกรณีผู้ซึ่งกระทำความผิดในขณะที่มีอายุต่ำกว่าสิบแปดปีกระทำความผิดที่มีระวางโทษประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิต ให้ถือว่าระวางโทษดังกล่าวเปลี่ยนเป็นระวางโทษจำคุกห้าสิบปี"
3. นักโทษที่ถูกศาลพิพากษาให้ประหารชีวิต หากได้รับการลดโทษด้วยเหตุตามกฎหมาย ให้ลดโทษดังนี้
(1) ถ้าจะลดหนึ่งในสามให้ลดเป็นโทษจำคุกตลอดชีวิต
(2) ถ้าจะลดกึ่งหนึ่ง ให้ลดเป็นโทษจำคุกตลอดชีวิต หรือโทษจำคุกตั้งแต่ยี่สิบห้าปีถึงห้าสิบปี
4. ความผิดตามกฎหมายไทย ที่มีโทษประหารชีวิต เช่น การประทุษร้ายหรือลอบปลงพระชนม์พระมหากษัตริย์, กบฏ, เข้าร่วมรบกับข้าศึกของประเทศ, ส่งความลับให้ต่างประเทศล่วงรู้, ฆ่าผู้อื่น, ก่อการร้าย, เป็นเจ้าพนักงานข่มขืนใจหรือจูงใจผู้อื่นให้มอบทรัพย์สินให้, วางเพลิงเผาโรงเรือน, ข่มขืนจนเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย, เอาเด็กอายุไม่เกิน 15 ปีไปเรียกค่าไถ่, ชิงทรัพย์ เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย, ผลิต นำเข้า ส่งออก ยาเสพติดเพื่อจำหน่าย, ครอบครองยาเสพติดเพื่อจำหน่าย ฯลฯ
5. คดีที่มีโทษประหารชีวิต ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 134/1 กำหนดว่า เมื่อพนักงานสอบสวนจะแจ้งข้อกล่าวหา ให้ถามผู้ต้องหาว่า มีทนายความหรือไม่ หากไม่มีต้องจัดหาทนายความให้ ไม่ว่าผู้ต้องหาจะเรียกร้องหรือไม่ก็ตาม และมาตรา 173 กำหนดว่า เมื่อจำเลยถูกฟ้องต่อศาล ก่อนเริ่มพิจารณาให้ศาลถามว่า จำเลยมีทนายความหรือไม่ ถ้าไม่มีให้ศาลตั้งทนายความให้ ไม่ว่าจำเลยจะเรียกร้องหรือไม่ก็ตาม
6. ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 245 กำหนดว่า คดีที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ประหารชีวิตจำเลย แม้จำเลยจะไม่ได้ยื่นอุทธรณ์ ให้ศาลชั้นต้นส่งสำนวนไปยังศาลอุทธรณ์ และให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาอีกครั้งหนึ่ง คดีนั้นๆ จะถึงที่สุดได้ต่อเมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ประหารชีวิตเช่นเดียวกัน
7. ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 247 กำหนดว่า คดีที่จำเลยถูกพิพากษาให้ประหารชีวิต ยังไม่ให้ประหารชีวิตทันที จนกว่าจะได้ดำเนินการเรื่องการอภัยโทษแล้ว และมาตรา 262 กำหนดว่า เมื่อผู้ใดถูกพิพากษาประหารชีวิต ให้ประหารเมื่อพ้นกำหนดหกสิบวันนับแต่วันฟังคำพิพากษา ในกรณีที่ยื่นขอพระราชทานอภัยโทษ ให้รอการประหารชีวิตไว้จนกว่าจะพ้นกำหนดหกสิบวันนับตั้งแต่วันที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมถวายเรื่องราวขึ้นไป การขอพระราชทานอภัยโทษแก่ผู้ต้องคำพิพากษาให้ประหารชีวิตนั้น ให้ขอได้ครั้งเดียวเท่านั้น
8. ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 247 วรรคสอง กำหนดว่า ถ้าหญิงมีครรภ์ต้องโทษประหาร ให้รอไว้จนพ้นกำหนดสามปีนับตั้งแต่คลอดบุตร แล้วให้ลดโทษประหารชีวิตเหลือจำคุกตลอดชีวิต เว้นแต่บุตรตายก่อนพ้นกำหนดเวลา
9. ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 248 กำหนดว่าถ้าบุคคลวิกลจริตต้องโทษประหาร ให้รอการประหารไว้ก่อนจนกว่าจะหาย ระหว่างเวลานั้นศาลอาจพิจารณาไม่เอาโทษหรือให้ส่งตัวไปกักขังไว้แทนการรับโทษก็ได้ถ้าผู้วิกลจริตนั้นหายภายหลังปีหนึ่งนับแต่วันคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลดโทษประหารชีวิตลงเหลือจำคุกตลอดชีวิต
“โทษประหารชีวิต” เป็นบทลงโทษทางอาญาหนักที่สุดตามกฎหมายไทย ในอดีตก่อนปี 2478 ใช้มีดดาบบั่นคอให้ขาด จนเปลี่ยนมาเป็นยิงเป้าและในปี 2546 เป็นต้นมา ได้เปลี่ยนจากยิงเสียให้ตาย เป็นการฉีดสารพิษ
นับตั้งแต่ปี พ.ศ.2478 ถึงปัจจุบันมีการบังคับโทษประหารชีวิตมาแล้ว 325 คน แยกเป็น การประหารชีวิตโดยใช้อาวุธปืน 319 คน นักโทษคนสุดท้ายที่ถูกประหารชีวิตด้วยการใช้อาวุธปืน คือเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2545 ต่อมาหลังแก้ไขกฎหมายเปลี่ยนวิธีการบังคับโทษประหารชีวิตมาเป็นการฉีดสารพิษ กรมราชทัณฑ์บังคับโทษประหารชีวิตด้วยวิธีการฉีดสารพิษมาแล้ว 7 คน โดยครั้งแรกเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2546 ส่วนครั้งก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2552
ครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2561 กรมราชทัณฑ์ได้บังคับโทษตามคำพิพากษาของศาล ด้วยการประหารชีวิตนักโทษเด็ดขาดชายอายุ 26 ปี ในคดีฆ่าผู้อื่นอย่างทารุณโหดร้ายเพื่อชิงทรัพย์เหตุเกิดเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2555 ที่จังหวัดตรัง นักโทษเด็ดขาดดังกล่าวได้ทำร้ายและบังคับให้เอาทรัพย์สิน คือโทรศัพท์มือถือ และกระเป๋าสตางค์ รวมทั้งใช้มีดแทงผู้ตาย รวม 24 แผลเป็นเหตุให้เหยื่อถึงแก่ความตาย บังคับโทษตามคำพิพากษาของศาล ด้วยการประหารชีวิตตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 245 ประกอบมาตรา 19 แห่งประมวลกฎหมายอาญา และระเบียบกระทรวงยุติธรรมว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการประหารชีวิตนักโทษ พ.ศ.2546 นับเป็นการประหารชีวิตที่ห่างจากรายก่อนหน้านี้ 9 ปี