ไวรัสโคโรน่ามาจากค้างคาวหรืองูกันแน่?
นักวิจัยสันนิษฐานเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่อาจมาจากการกินซุปค้างคาวของชาวอู่ฮั่น
นักวิทยาศาสตร์ได้เตือนมานานแล้วว่าการบริโภคสัตว์ป่า นอกจากจะเป็นการคุกคามความหลากหลายทางชีวภาพอย่างรุนแรงแล้ว ยังมีโอกาสทำให้เกิดโรคระบาดติดต่อที่เกิดจากสัตว์ (zoonotic diseases) ที่เป็นอันตรายอย่างร้ายแรงได้
กรณีการระบาดของโรคซาร์ส ที่มีผู้ติดเชื้อกว่า 8,000 คนและมีผู้เสียชีวิตกว่า 800 ราย เมื่อปี 2003 ก็มีต้นกำเนิดมาจากตลาดค้าสัตว์ป่า ซึ่งคาดว่าเป็นชะมดและอีเห็น ที่ได้รับเชื้อจากค้างคาวอีกต่อหนึ่ง การปล่อยให้มีตลาดค้าสัตว์ป่า จึงไม่ต่างอะไรกับการสร้างแหล่งเพาะพันธุ์โรคระบาดที่เราไม่อาจคาดเดาได้
ผลการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสารเมดิคัล ไวโรโลจี (Medical Virology) เมื่อวันพุธ (22 ม.ค.) บ่งชี้ความเป็นไปได้สูงสุดว่า “งู” อาจเป็นสัตว์ป่าที่เป็นแหล่งเพาะเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (2019-nCoV) ซึ่งคร่าชีวิตผู้คนในมณฑลหูเป่ยทางตอนกลางของจีนแล้ว 17 ราย
ผลลัพธ์ที่ได้จากการวิเคราะห์ชี้ว่า ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่น่าจะเป็นไวรัสสายผสม (recombinant) ระหว่างไวรัสโคโรนาของค้างคาวและไวรัสโคโรนาจากอีกแหล่งหนึ่งซึ่งยังไม่ทราบที่มา
การผสมกันของไวรัสเกิดขึ้นภายในสไปค์ไกลโคโปรตีน (spike glycoprotein) ซึ่งเป็นหน่วยรับที่ยื่นออกมานอกเยื่อหุ้มเซลล์ โดย “งู” เป็นสัตว์ป่าที่น่าจะเป็นแหล่งเพาะเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่มากที่สุด เมื่อเทียบสัตว์ชนิดอื่นๆ โดยอ้างอิงการวิเคราะห์ด้วยวิธีการใช้รหัสพันธุกรรมที่มีความหมายเหมือนกัน
เมื่อนำผลลัพธ์มาประกอบกัน ผลการวิจัยจึงชี้ว่าการผสมกันแบบคู่เหมือน (homologous recombination) ภายในสไปค์ไกลโคโปรตีนอาจนำไปสู่การถ่ายโอนข้ามสายพันธุ์สิ่งมีชีวิตจาก “งูสู่มนุษย์”
https://www.sanook.com/news/8017867/
https://www.facebook.com/Re4Reef/photos/a.1820252988286933/2399926723652887/?type=3&theater