วิเคราะห์เบื้องหลัง เหตุใด ผบ.ตร.โฟนอินผู้ต้องหาปล้นทองลพบุรี แทนนำตัวมานั่งแถลงข่าว?
สืบเนื่องจากกรณีที่เกิดเหตุกราดยิงกลางห้างที่ลพบุรี เมื่อวันที่ 9 มกราคม 2563 ที่ผ่านมา ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ได้ใช้เวลาค่อนข้างนานกว่าจะแน่ใจว่าคนร้ายคือ ประสิทธิชัย เขาแก้ว อายุ 39 ปี มีตำแหน่งเป็นถึงผู้อำนวยการที่โรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดสิงห์บุรี โดยเจ้าตัวให้การรับสารภาพทั้งหมดว่าทำคนเดียวและมูลเหตุจูงใจเป็นเพราะปัญหาหนี้ส่วนตัว ทั้งยังแสดงความเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ล่าสุดในโลกโซเชียล สังคมต่างตั้งคำถามถึงกรณีการแถลงข่าวที่เกิดขึ้น ว่าเหตุใดจึงต้องใช้กาโฟนอิน และไม่นำผู้ต้องหามาแถลงข่าวด้วยนั้น เกี่ยวกับประเด็นนี้ มีการเปิดเผยข้อมูลจากแหล่งข่าวในแวดวงตำรวจ ระบุว่า ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจอาจจะต้องการความเรียบร้อยในการแถลงข่าว ป้องกันการเกิดความวุ่นวาย หากนำตัวผู้ต้องหามาแถลงข่าว
อีกทั้งยังอยู่ในช่วงรวบรวมพยานหลักฐานต่าง ๆ ที่ยังหาไม่พบ ก็คือกระบอกเก็บเสียง ซึ่งทางทีมเจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังเร่งค้นหา รวมไปถึงประเด็ฯที่ผู้ต้องหามีสิทธิที่จะขอออกมาแถลงข่าวหรือไม่ก็ได้ เพราะถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน อย่างไรก็ตามทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ออกคำสั่งที่ 855/ 2548 ห้ามนำหรือจัดให้ผู้เสียหาย ผู้ต้องหา พยาน มาให้ข่าวหรือแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน ยกเว้นกรณีที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณชน
ขณะที่ทางด้านนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้เปิดเผยถึงกรณีตำรวจกองปราบปรามนำตัวนายประสิทธิชัย เขาแก้ว ผอ.โรงเรียนในจังหวัดสิงห์บุรี ผู้ต้องหาในคดีฆ่าชิงทองที่ห้างโรบินสัน จังหวัดลพบุรี มาขออำนาจศาลอาญาฝากขังระหว่างการสอบสวนว่า ตนได้กำชับไปยังพ.ต.อ.ณรัชต์ เศวตนันทน์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ถึงมาตรการในการคุมชัยนายประสิทธิชัย
เนื่องจากในเรือนจำมีนักโทษถูกคุมขังอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นนักโทษอุฉกรรจ์ก่อคดีร้ายแรง ผู้ต้องขังใหม่ที่มีประวัติก่อคดีร้ายแรงฆ่าเด็ก ฆ่าผู้หญิง หรือข่มขืน จึงมักจะตกเป็นที่รังเกียจของนักโทษทั่วไป ทำให้มีข้อกังวลว่าอาจมีคนรอจองกฐิน จึงกำชับให้อธิบดีกรมราชทัณฑ์ดูแลให้ดี อย่าให้มีปัญหา
และยังต้องระวังไม่ให้ผู้ต้องขังชิงฆ่าตัวตายในเรือนจำด้วย ซึ่งเชื่อว่าเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครจะสามารถบริหารจัดการได้อย่างไม่มีปัญหา “เรือนจำอาจเปรียบได้กับธนาคาร ธนาคารมึหน้าที่รับฝากเงิน แต่เรือนจำรับฝากนักโทษ ถึงเวลาต้องนำตัวออกไปดำเนินคดีในศาล ตำรวจก็จะมาเบิกตัวออกไป แต่กรณีที่เป็นนักโทษรายสำคัญก็ต้องมีมาตรการเฝ้าระวังเป็นพิเศษ อย่าให้มีปัญหาวุ่นวาย”