เชปวนมาเรียม นางสาวไทย ที่พลิกชีวิตได้เป็นราชินี เจ้าชายมาเลย์ฯ
หลายคนคงไม่รู้มาก่อนว่า “เชปวนมาเรียม บินตีอับดุลละห์” (Che’ Puan Mariam Binti Abdullah) หรือพระนามเดิมคือ “เรียม เพศยนาวิน” (20 เมษายน พ.ศ. 2465 – 29 กันยายน พ.ศ. 2529) เป็นสุภาพสตรีชาวไทยที่ดำรงตำแหน่งนางสาวไทยประจำปี พ.ศ. 2482 และเป็นสุภาพสตรีไทยมุสลิมคนแรกและคนเดียวที่ครองตำแหน่งดังกล่าว[2][3] ภายหลังเธอได้เสกสมรสกับรายาฮารุน ปูตราแห่งปะลิสเมื่อปี พ.ศ. 2495 มีพระราชโอรส-ธิดาด้วยกันสี่พระองค์
โดย”เชปวนมาเรียม”ได้เข้าร่วมการประกวดนางสาวไทยส่งเข้าประกวดในนามของอำเภอยานนาวา ระหว่างการฉลองรัฐธรรมนูญระหว่างวันที่ 8-12 ธันวาคม พ.ศ. 2482 ซึ่งเป็นปีที่มีการเปลี่ยนแปลงชื่อการประกวดจากเดิมคือนางสาวสยามเป็นนางสาวไทยตามชื่อใหม่ของประเทศ
นอกจากนี้การประกวดนางสาวไทยยังให้ผู้เข้าประกวดสวมชุดเสื้อกระโปรงติดกันเปิดแผ่นหลังครึ่งหลัง ตัวกระโปรงยาวถึงหัวเข่าเพื่อความทันสมัย จากเดิมที่ผู้ประกวดจะสวมชุดไทยสไบเฉียง ซึ่งจากการประกาศผลในวันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2482 ได้ประกาศให้ “เรียม เพศยนาวิน”วัย 16 ปี จากอำเภอยานนาวาครองตำแหน่งนางสาวไทย โดยมี “มาลี พันธุมจินดา”, “เทียมจันทร์ วนิชขจร”, “เจริญศรี ปาศะบุตร” และ”ลำยอง สู่พานิชย์” เป็นรองนางสาวไทยอันดับที่ 1-4 ตามลำดับ
โดยพระองค์ได้รับรางวัลที่นับว่ามีค่าในขณะนั้น เช่น “พานรอง”, “ขันน้ำ”, “จักรยาน” หรือโต๊ะเครื่องแป้ง เป็นอาทิ หลังรับตำแหน่งแล้วพระองค์จะมีหน้าที่สำหรับการประชาสัมพันธ์นโยบายการสร้างชาติของรัฐบาล หรือมีบทบาทสำคัญต่อการรังสรรค์ประเทศ อย่างเช่นช่วงประเทศกำลังประสบปัญหาในสงครามอินโดจีน พระองค์ได้นำถ้วยเงินออกขายเพื่อนำเงินมาบำรุงประเทศ
ซึ่งในปี 2494 รายาปูตราแห่งปะลิสได้เสด็จมาประเทศไทยเป็นการส่วนพระองค์และมีพระประสงค์ที่จะประทับในบ้านมุสลิมเพื่อหลีกเลี่ยงการต้อนรับอย่างเอิกเกริกรวมทั้งต้องการทอดพระเนตรมุสลิมผู้รับตำแหน่งนางสาวไทยด้วย โดย “เจ๊ะอับดุลลาห์” หลัง “ปูเต๊ะ” สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสตูลจึงให้พระองค์ประทับ ณ บ้านของนิพนธ์ สิงห์สุมาลี ซึ่งขณะนั้นเรียมก็ประทับอยู่ในบ้านหลังดังกล่าวด้วย แต่ทว่าเรียมหลบเลี่ยงที่พบปะกับรายาเสมอ จนกระทั่งวันหนึ่งเรียมทรงแบตมินตันกับบุตรสาวของนิพนธ์ องค์รายาได้ออกมาทอดพระเนตรพอดีและทรงพอพระทัยยิ่ง
ต่อมาวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2495 รายาได้นำพระธำมรงค์ 10 กะรัต และเงิน 10,000 บาท มาทำพิธีหมั้นที่บ้านของนิพนธ์อย่างเรียบง่าย โดยมี “ต่วน สุวรรณศาสน์” จุฬาราชมนตรีในขณะนั้นเป็นประธานในพิธี หลังจากนั้นอีกสองเดือน จึงได้จัดพิธีเสกสมรสอย่างเรียบง่ายเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคมปีนั้นโดยมีจุฬาราชมนตรีมาประกอบพิธีกรรมทางศาสนา และมีแขกมาร่วมงานราว 50 คน
หลังจากนั้นเป็นต้นมา เรียมจึงมีตำแหน่งเป็นเชปวน (Che’ Puan) หรือพระมเหสีรอง เพราะรายามีพระมเหสีอยู่ก่อนแล้วคือราจาเปอเริมปวนบูดรียะห์แห่งปัตตานี (Raja Perempuan Budriah) ซึ่งตามหลักศาสนาอิสลามแล้วผู้ชายจะมีภรรยาได้สี่คน ทั้งนี้รายาและเชปวนมาเรียมมีพระโอรส-ธิดาด้วยกัน 4 พระองค์ ได้แก่
เจ้าชายไซนัล-ราชิด (Syed Zainal-Rashid; 18 เมษายน พ.ศ. 2496)
เจ้าชายอัซนี หรือ อัศนีย์ (Syed Azni; 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2497)
เจ้าชายบัดลีชะห์ หรือ รังสิกร (Syed Badlishah; 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2501)
เจ้าหญิงเมลานี (Sharifa Melanie; 30 มกราคม พ.ศ. 2511)
โดย”เชปวน”มาเรียมทรงสอนให้พระราชโอรส-ธิดาพูดภาษาไทย ทรงใช้ชีวิตส่วนใหญ่ในรัฐปะลิส เสด็จกลับประเทศไทยปีละสามครั้ง บ้างก็เสด็จไปเยี่ยมพระโอรสที่กำลังศึกษาในประเทศอังกฤษ
อย่างไรก็ตาม “เชปวน” สิ้นพระชนม์ เมื่อวันที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2529 ด้วยพระอาการพระหทัยวายเฉียบพลัน สิริชันษา 64 ปี พระศพถูกฝัง ณ สุสานหลวงประจำราชวงศ์จามาลูไลล์ รัฐปะลิส ประเทศมาเลเซีย