ชาวนามักจะทำหุ่นไล่กามาตั้งไว้ เพื่อหลอกนกว่ามีคน(ผี)เฝ้านา :มิติลี้ลับสัมผัสสยอง
เขียดเป็นลูกชาวนา บ้านอยู่ในจังหวัดอยุธยา ตอนที่ยังเป็นเด็ก ปู่ทิมจะพาไปนาตลอด ซึ่งนาอยู่ห่าง จากบ้านไปประมาณสองกิโล
ในสมัยนั้นชาวนามักจะทำหุ่นไล่กามาตั้งไว้ เพื่อหลอกนกว่ามีคนเฝ้านาอยู่ จะได้ไม่ลงมาจิกกินข้าว บางทีปู่ทิมก็ยิงปืนขึ้นฟ้าบ้าง เพราะนกบางฝูงก็ไม่กลัวหุ่นไล่กาเลย ปู่ทิมขยันมาก ถ้าไม่เจอปู่ทิมที่บ้านก็จะอยู่ที่นาตลอด แกลงมือทำเองทุกอย่าง เรียกว่าขยันและทุ่มเทมาก เงินที่ได้จากการ ขายข้าว ก็เอามาใช้จ่ายในบ้าน
ส่วนพ่อแม่ของเขียดเข้าไปทำงานที่โรงงานแถวสมุทรปราการกัน ทำให้เขียด สนิทกับปู่ทิมที่สุด จนกระทั่งปู่ทิมตายเพราะเป็น ความดัน เส้นเลือดในสมองแตก แกตายที่เถียงนา วันนั้นเขียดไปโรงเรียน กว่าจะรู้ว่าปู่ทิมตายก็ตอน เลิกเรียนแล้ว
ตอนนั้นเขียดเพิ่งจะอายุสิบห้า พ่อกับแม่เลยต้องลาออกจากโรงงานและมาช่วยกันทำนาต่อ ด้วยความที่เป็นวัยรุ่น เขียดคบหาอยู่กับจิ๊บ สาวต่างหมู่บ้าน ในช่วงเย็นวันหนึ่ง พ่อกับแม่กลับมาจากนาแล้ว เขียดก็ขี่มอเตอร์ไซค์ไปหาจิ๊บ และพากันไปที่กระท่อมริมนาข้าว
พอไปถึง พระอาทิตย์กำลังจะตกดิน แสงสีแดงส้มก็ปรากฎขึ้น ซึ่งเป็นช่วงที่ชาวบ้านเรียกกันว่า ผีตากผ้าอ้อม เขียดจูงมือจิ๊บเข้าไปในกระท่อม และนั่งจู๋จี๋กัน ขณะที่หยอกล้อกันอยู่ ก็ได้ยินเสียงผนังไม้ไผ่ ถูกตีดัง ปัง ปัง ปัง เขียดตกใจ รีบลงจากกระท่อมและเดินวนดูที่ด้านนอก แต่กลับไม่มีใครอยู่แถวนั้นเลย พอมองออกไปรอบ ๆ ก็เห็นแค่นาข้าว เป็นทุ่งกว้างที่มีแต่รวงข้าวอ่อน ถ้ามีคนก็ต้องมองเห็นแน่นอน เขียดเดินกลับไปหาจิ๊บ ซึ่งเดินออกมานั่งห้อยขาอยู่ที่หน้ากระท่อม จังหวะที่เดินไปถึง จิ๊บก็ร้องกรี้ดดังลั่นแล้วดึงขาขึ้น เขียดรีบถามว่าเป็นอะไร จิ๊บบอกว่า มีมือเย็นเฉียบมาจับที่ข้อเท้า เขียดก้มลงดูด้านล่างก็ไม่มีใคร ตอนนั้นจิ๊บรู้สึกกลัว เลยบอกให้เขียดพากลับบ้าน เขียดจึงเข้าไปในกระท่อมเพื่อหยิบกระเป๋าหนังสือ แต่ยังไม่ทันจะเดินออกมา จิ๊บนั่งอยู่ข้างนอกก็กรี๊ดขึ้นอีกรอบ เขียดรีบวิ่งออกมา ก็ทันเห็นฝูงนกแตกฮือ บินออกจากกลางทุ่งนา เหมือนมีใครไล่พวกมัน จิ๊บนั่งก้มหน้ากอดเข่า เนื้อตัวสั่นเทาไปหมด เขียดถามว่า มีอะไร จิ๊บส่ายหน้าและบอกว่า “กลับบ้านเถอะ เร็ว อยากกลับแล้ว” เขียดจึงจูงมือจิ๊บออกไปจากกระท่อม และเดินไปตามเถียงนา ซึ่งตอนนั้นเริ่มมืดแล้ว
พอเดินไปถึงจุดที่ปู่ทิมตาย ลมเย็นก็พัดวูบเข้ามาปะทะตัวเขียด พร้อมกับกลิ่นแป้งเย็น ซึ่งเขียดจำได้ดีว่ากลิ่นแป้งเย็นนั้น เป็นกลิ่นเดียวกับที่ปู่ทิมชอบใช้ ตอนนั้นเขียด พูดขึ้นมาลอย ๆ ว่า “ปู่ อย่าทำแบบนี้สิ แล้วทั้งคู่ก็รีบเดินไปจนถึงรถมอเตอร์ไซค์ พอสตาร์ทรถติดก็กำลังจะขี่ออกไป ด้วยความสงสัย เขียดเลยมองกระจกส่องหลัง แล้วก็ตกใจ เพราะเห็น ใครบางคนยืนอยู่ด้านหลัง แต่เพราะบรรยากาศมันดูสลัว ๆ เลยดูไม่ออกว่าเป็นใคร เขียดจึงหันหลังไปดู ก็รีบหันกลับมาแล้วขี่มอเตอร์ไซค์ออกไปอย่างเร็ว เพราะภาพที่เห็นคือ ปู่ทิมนั่นเอง หน้าตาดูดุดันมาก เหมือนโกรธอะไรสักอย่าง
พอขี่ออกมาจนพ้นนาข้าว เขียดก็พาจิ๊บไปส่งที่บ้าน ตอนนั้นเองที่จิ๊บเปิดปาก เล่าว่า ตอนที่เขียดเข้าไปหยิบกระเป๋าหนังสือ จิ๊บเห็นคนแก่ เดินบนเถียงนา แต่เดินเร็วมาก แล้วร่างก็ลอยขึ้น เหนือพื้นและพุ่งลงไปกลางนาข้าว จนนกบินหนีออกจากนากันไปคนละทิศละทาง แต่เพราะจิ๊บไม่เคยเจอ ปู่ทิมมาก่อน เลยไม่รู้ว่า หน้าตาปู่ทิมเป็นยังไง แต่ที่แน่ ๆ จิ๊บบอกว่า สิ่งที่เห็น ไม่ใช่คนแน่นอน เขียดฟังจบ ก็บอกให้จิ๊บเข้าบ้าน ไม่ต้องคิดอะไรมาก
พอร่ำลากันเสร็จ เขียดก็ขี่มอเตอร์ไซค์กลับบ้าน ด้วยความสงสัย เลยถามแม่ว่า ไปทำนาเคยเจอปู่ทิมบ้างไหม แม่ทำหน้านิ่งและพยักหน้า แกบอกว่า “เจอช่วงเย็น ๆ ก่อนกลับบ้าน บางทีเดินออกมาจะพ้นนาแล้วหันไปมองที่กระท่อม ก็เจอปู่ทิมนั่งอยู่ แกคงห่วงนาของแก ละมั้ง” เขียดได้ฟังแล้วรู้สึกไม่สบายใจ แต่แล้วอยู่ ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่า ปู่ทิมเคยห้ามเรื่องชิงสุกก่อนห่าม เพราะแกหัวโบราณ การที่แกมาให้จิ๊บและเขียดเห็น คงเพราะไม่อยากให้ทำอะไรที่ไม่ดี แถมยังไปทำ ในที่นาของแกด้วย แกคงจะโกรธ เขียดเดินขึ้นไปบนบ้านและไหว้ที่รูปของปู่ทิมและบอกปู่ว่า “ไม่ต้องห่วงอะไรแล้วปู่ ขอให้ไปผุดไปเกิด ไม่ต้องเป็นผีเฝ้านา” พอพูดจบ แม่ก็ถึงกับสะดุ้ง เพราะได้ยิน เสียงหัวเราะในลำคอเบา ๆ เสียงนั้นใช่ปู่ทิมแน่นอน