ต้องเปลี่ยนบัตรATM เป็นชิปการ์ดภายในปีนี้ ก่อนจะกดATM ไม่ได้
ตั้งแต่ 16 พ.ค. 2559 มีนโยบายตามมาตรฐานกลางให้เปลี่ยนบัตรเดบิตหรือบัตรกด ATM จากแถบแม่เหล็กเป็นแบบชิปการ์ด ซึ่งผู้ที่ถือบัตรกด ATM หรือทำบัตรก่อนวันที่ 16 พ.ค. 2559 ที่เป็นแถบแม่เหล็ก ยังสามารถใช้บัตร ATM กดกับตู้เอทีเอ็มได้ จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2562 นี้ เนื่องจากตู้จะเปลี่ยนเป็นระบบอ่านบัตรชิปการ์ด ทำให้บัตรที่เป็นระบบแม่เหล็กเดิมไม่สารถกดเงินกับตู้แบบชิปการ์ดได้
ความต่างระหว่างบัตร ATM เก่าแถบแม่เหล็กกับชิปการ์ด
- ที่หน้าบัตรมีแผงวงจร micro ship ขนาดเล็กสำหรับเก็บข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้งาน
ตัวอย่างชิปการ์ดมีแผงชิปซ้ายมือ ธนาคารกรุงศรี
ตัวอย่างบัตรชิปการ์ดของธนาคารกสิกรไทย
- รหัสบัตร ATM หรือ PIN มี 6 หลัก (บัตรแบบแถบแม่เหล็กเดิมมี 4 หลัก)
- จ่ายเงินด้วยเครื่องสอดบัตร+กดรหัส PIN 6 หลักเพื่อยืนยันการจ่ายเงิน จากเมื่อก่อนที่ต้องรูดบัตร (หรือที่เรียกติดปากว่า “สแคชบัตร” ) แล้วพนักงานจะนำใบเสร็จมาให้เซ็นลายเซ็น
ข้อดีของบัตรชิปการ์ด
มีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น
ป้องกันการถูกโจรกรรมคัดลอกข้อมูลในบัตรและการปลอมแปลงบัตรได้ เนื่องจากเครื่องอ่านบัตรเป็นแบบเข้ารหัสและถอดรหัสจากชิป
สังคมไม่นิยมพกเงินสด e-Payment ช่วยให้รัฐจัดเก็บข้อมูลการเงินได้ ลดต้นทุนการเก็บเอกสาร
ไม่ต้องพกบัตรหลายใบ เช่น บัตรส่วนลด บัตรสะสมแต้ม บัตรรถไฟฟ้า เป็นต้น เพราะทุกอย่างครบในบัตรเดบิตใบเดียว
สะดวกต่อการจ่ายเงินและมีส่วนลด จากการจ่ายตั๋วเครื่องบินกับบัตรเหล่านี้จะมีส่วนลด
สอดคล้องมาจรฐานสากล นำไปใช้ในต่างประเทศได้ สามารถชำระเงินในต่างประเทศได้ในหลายประเทศตามมาตฐาน EMV เช่น ฝรั่งเศส ออสเตรเลีย อังกฤษ เป็นต้น
สามารถขอเปลี่ยนได้ที่ไหน
เปลี่ยนได้ที่ธนาคารเจ้าของบัตรนั้น ๆ ค่าธรรมเนียมเริ่มต้นตั้งแต่ 100 บาท ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขบัตร และบางธนาคารยกเว้นค่าธรรมเนียม