แรกเริ่มของการทำป่าไม้ในมณฑลพายัพ
ปี พ.ศ. ๒๓๖๙ อังกฤษได้ทำสงครามครั้งแรกกับพม่าและยึดได้ดินแดนหัวเมืองมอญซึ่งมีอาณาเขตติดต่อกับดินแดนล้านนา หลังจากนั้นชาวอังกฤษ ชาวมอญ ชาวพม่าในบังคับของอังกฤษก็ได้เริ่มเข้ามาค้าขายในล้านนา เท่าที่ปรากฏหลักฐานพบว่า ดร. ริชาร์ดสัน มาถึงเมืองชียงใหม่ พ.ศ. ๒๓๗๒ เพื่อติดต่อขอซื้อช้าง โคกระบือจากราษฎรเชียงใหม่ ลำพูน ลำปางและในราว พ.ศ. ๒๓๘๓ ชาวอังกฤษ มอญ พม่าชาวเมืองมะละแหม่ง ได้เริ่มเข้ามาตัดไม้ในป่าบริเวณแขวงเมืองตาก เมืองเชียงใหม่ เมืองลำพูน โดยเมื่อตัดป่าไม้แล้วได้นำเงินค่าตอไม้จำนวน ๕๐๐ เหรียญมอบให้พระยาทนุจัก (เป็นกองตระเวนซึ่งออกไปสืบข่าวพม่าและอังกฤษ) เพื่อมอบให้แก่รัฐบาลกลางต่อไป แต่ทางรัฐบาลกลางไม่ยอมรับค่าตอไม้ดังกล่าว ให้พยาทนุจักนำเงินไปคืนแก่ มอญ พม่าเจ้าของเงิน เพราะทางรัฐบาลถือว่าป่าไม้เป็นผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นในเมืองประเทศราช การจะขายหรืออนุญาตให้ตัดฟันเป็นสิทธ์ของเจ้าเมืองทั้งสิ้น จากนั้นก็มีหนังสือแจ้งถึงหัวเมืองประเทศราชล้านนาให้ทราบนโยบายที่รัฐบาลกลางจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับผลประโยชน์ทางเศรฐกิจของล้านนา การทธุรกิจป่าไม้ในดินแดนล้านนาเจริญเติบโตมากยิ่งขึ้น เมื่ออังกฤษได้ยึดครองหัวเมืองครอบครองดินแดนพม่าตอนล่างได้
หลังทำสงครามครั้งที่สอง อังกฤษได้ตั้งโรงเลื่อยขึ้นที่เมืองมะละแหม่ง ทำการตัดไม้สักและเลื่อยเป็นกระดานส่งไปขายต่างประเทศ โดยบรษัท บริติชบอร์เนียวและบริษัท บอมเบย์ เบอร์ม่า ซึ่งเป็นบริษัทใหญ่และทุนมากและมีอิทธิพลทางการเมืองอันไปสู่สงครามระหว่างอังกฤษและพม่าครั้งที่สาม เนื่องจากคดีพิพาทเรื่องป่าไม้ระหว่างรัฐบาลพม่ากัลบริษัทป่าไม้ทั้งสองของอังกฤษ
ทรัพยากรในล้านนาเป็นทรัพย์สินของเจ้าเมือง เมื่อเจ้าเมืองถึงแก่อสัญกรรมป่าไม้ก็จะตกเป็นมรดกตกทอดสู่บุตรหลานสืบต่อไป จากหลักการนี้ที่ถือสืบทอดต่อกันมา และนโยบายของรัฐบาลกลางให้ถือเป็นสิทธิ์อำนาจของเมืองประเทศราช เจ้าเมืองและเจ้านายชั้นสูงส่วนหนึ่งจึงเป็นเจ้าของป่าไม้ทั้งหมด ผู้ใดจะทำป่าไม้จะต้องขออนุญาตเช่าป่าทำไม้กับเจ้าของป่าไม้ โดยให้การอนุญาตเจ้าของป่าจะต้องเขียนใบอนุญาตลงในใบลานให้ไว้แก่ผู้ขอเช่าป่าไม้ถือเป็นหลักฐาน โดยในใบอนุญาตนั้นไม่มีข้อสัญญา กำหนดอันใดอันหนึ่ง ผู้รับทำป่าไม้จะต้องตัดฟันไม้เล็กหรือไม้ใหญ่หรือประการใดได้หมด เพียงแต่ต้องทำภายในบริเวณขอบเขตป่าไม้ที่ได้รับอนุญาตและชำระค่าตอไม้ ซึ่งเจ้าของป่าไม้จะส่งเจ้าพนักงานออกไปเก็บเงินค่าตอไม้ในระยะแรกเก็บต้นละ ๑ รูเปีย และมีการปรับค่าตอไม้ในสมัยพระเจ้ามโหตรประเทศเป็น ๓ ประเภท ตามขนาดของไม้ คือ ถ้าไม้ขนาด ๘ – ๑๐ กำ (Fists) อัตราต้นละ ๑ รูเปีย ไม้ขนาด ๑๑ – ๑๓ กำ อัตราต้นละ ๒ รูเปีย และไม้ขนาด ๑๔ – ๑๖ กำ อัตราต้นละ ๓ รูเปีย จนถึงปี พ.ศ. ๒๔๓๙ เมื่อมีการตั้งกรมป่าไม้แล้วจึงกำหนดเป็นต้นละ ๑๒ รูเปีย เงินค่าตอที่เก็บมาได้นั้นแบ่งออกเป็น ๓ ส่วน คือ เจ้าของป่าไม้ส่วนหนึ่ง เป็นเจ้าหน้าที่เก็บเงินค่าตอจำนวนหนึ่ง และเป็นของเจ้าเมืองอีกส่วนหนึ่ง.
ที่มา ตัดตอนจากหนังสือ ๑๐๐ ปีกรมป่าไม้