แม่ใจสลาย เสียลูกชายที่เกาหลี หลังแอบไปเป็นผีน้อย ส่งเงินปลดหนี้ ตั้งใจกลับมาจะขอสาวแต่งงาน
จากกรณีมีผู้โพสต์เฟซบุ๊กขอความช่วยเหลือ ระบุว่า ญาติใครครับเสียชีวิตที่เกาหลีใต้ หัวใจล้มเหลว ไม่มีวีซ่า ไปท่องเที่ยวแต่หลบทำงาน เพื่อนๆ ช่วยประกาศบริจาคหาเงินค่าเครื่องบิน ส่งร่างกลับบ้านเกิด พร้อมลงภาพพาสปอร์ตของผู้เสียชีวิต ที่ชื่อ นายประพันธ์ กำมณี อายุ 28 ปี ที่มีภูมิลำเนาอยู่ จ.อุดรธานี และมีภาพถ่ายเอกสาร ที่เป็นภาษาเกาหลี ที่น่าจะเป็นใบมรณบัตร ซึ่งจากการตรวจสอบทราบว่า นายประพันธ์ กำมณี เป็นชาว จ.อุดรธานี อยู่ที่บ้านเลขที่ 1 หมู่ 3 บ้านหนองหัวคู ต.หนองหัวคู อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี
ต่อมาวันที่ 9 ต.ค. ที่บ้านเลขที่ 1 หมู่ 3 บ้านหนองหัวคู ต.หนองหัวคู อ.บ้านผือ พบเป็นบ้าน 2 ชั้น ครึ่งไม้ครึ่งปูน ที่หน้าบ้านตั้งเต็นท์เตรียมจัดงานศพ พบนางจันทร์เพ็ญ กำมณี อายุ 46 ปี แม่ของนายประพันธ์ หรือ เอ็ม ผู้เสียชีวิต พร้อมญาติ และชาวบ้านที่ทราบข่าว เดินทางมาให้กำลังใจ นางจันทร์เพ็ญ โดยที่หน้าบ้านตั้งโต๊ะนำภาพถ่ายของนายประพันธ์มาวางไว้ พร้อมจุดธูปเทียน ทำพิธีทางศาสนา รอที่จะนำศพของนายประพันธ์กลับมาที่บ้าน
ขณะเดียวกัน นางยุทธศาสตร์ ทูลกลาง นักวิชาการแรงงานชำนาญการ สนง.จัดหางาน จ.อุดรธานี ได้เดินทางมาพบนางจันทร์เพ็ญ แม่ของนายประพันธ์ เพื่อสอบถามทางครอบครัว เรื่องการเดินทางไปทำงานของนายประพันธ์ ทราบว่า นายประพันธ์ เดินทางไปทำงานโดยผิดกฎหมายนานถึง 3 ปี พร้อมกับ นายเดือน กำมณี อายุ 54 ปี ผู้เป็นบิดา ซึ่งทางสำนักงานจัดหางานฯ ไม่สามารถดำเนินการช่วยเหลือได้ แต่ได้ให้คำปรึกษาแนะนำขั้นตอนต่างๆ ในการติดต่อประสานรับศพนายประพันธ์ กลับมาประเทศไทย
นางจันทร์เพ็ญ กำมณี แม่นายประพันธ์ ผู้ตาย เล่าทั้งน้ำตาว่า ครอบครัวมีอาชีพทำนา ทำไร่ มีลูก 2 คน ผู้ตายเป็นลูกคนโต ยังโสด ยังไม่มีครอบครัว หลังจากเรียนจบ ม.6 ได้ทำนา และค้าขายอยู่ในหมู่บ้าน กระทั่งอายุ 25 ปี ตนได้กู้เงินนอกระบบ 2 แสนบาท ดอกเบี้ยร้อยละ 5 ส่งผู้ตายไปทำงานโรงงานพลาสติกที่ไต้หวันกับน้องชาย ได้เงินเดือน 20,000 บาท หักค่าใช้จ่ายจะเหลือเงินส่งกลับบ้านเพียง 8,000 บาท ทำงานได้เพียงปีกว่าก็กลับบ้าน เพราะเงินเดือนน้อย ไม่พอใช้หนี้ ตนจึงแบ่งที่นาขายไปใช้หนี้
จากนั้นเมื่อ 3 ปีก่อน นายเดือน กำมณี อายุ 54 ปี ผุ้เป็นพ่อได้ชวนผู้ตายไปทำงานโรงงานไก่ ในประเทศเกาหลีใต้ โดยไปแบบหลบหนีเข้าเมือง หรือชาวบ้านเรียกไป แบบผี ซึ่งมีคนในหมู่บ้านที่ไปทำงานอยู่ก่อนได้ชักชวนไป ตนจึงกู้เงินนอกระบบอีก 3 แสนบาท ให้สามีกับลูกชายเดินทางไปเสี่ยงโชคที่เกาหลี โชคดีที่ได้เงินเดือน 4-5 หมื่นบาท สองคนส่งเงินกลับมาบ้านรวมกัน 6 หมื่น ตนนำไปใช้หนี้จนหมด และยังได้สร้างบ้านใหม่ 1 หลัง ส่วนผู้ตายซื้อรถจักรยานยนต์บิ๊กไบค์ไว้ 1 คัน โดยผู้ตายและพ่อ มีกำหนดจะเดินทางกลับมาในวันที่ 8 ตุลาคม 60
นางจันทร์เพ็ญ เล่าต่อว่า ผู้ตายบอกว่า เมื่อกลับมาบ้านแล้ว จะให้พ่อและแม่ไปสู่ขอแฟนสาว ชาว จ.พิจิตร แต่ทำงานอยู่กรุงเทพฯ เพื่อแต่งงานในช่วงปีใหม่ 2561 นี้ โดยจองตั๋วเครื่องบินกลับเมืองไทยเวลา 08.00 น. วันที่ 8 ตุลาคม ซึ่งตนและญาติได้รอรับผู้ตายอยู่บ้าน แต่พอวันที่ 7 ตุลาคม นายเดือน สามีได้บอกว่า ลูกไม่สบาย ได้พาไปหาหมอตรวจร่างกายที่โรงพยาบาล แต่ยังไม่ทราบผลว่าป่วยเป็นอะไร รู้แต่ว่าเหนื่อย และไอ ไม่ได้ไปทำงาน นอนอยู่ในห้องพัก ตนนึกว่าลูกป่วยเป็นไข้หวัดธรรมดา เพราะลูกไม่มีโรคประจำตัว ร่างกายอาจจะอ่อนเพลียเท่านั้น
กระทั่งเมื่อเวลา 19.00 น. ลูกชายได้โทรศัพท์มาหาบอกว่าเหนื่อยมาก หายใจไม่ออก ไม่รู้ว่าเขาจะอนุญาตขึ้นเครื่องกลับกลับบ้านมาหาแม่หรือไม่ จากนั้นก็ได้ยินเสียงลูกไอ และโทรศัพท์หลุดมือ แต่โทรศัพท์ยังไม่ปิดสาย จึงได้เรียกลูกแต่ก็ไม่มีเสียงตอบ กระทั่งนายเดือนได้กลับจากทำงาน พบลูกชายไอเป็นเลือดออกมา และนอนหมดสติบนที่นอน จึงรีบนำตัวส่งโรงพยาบาล หมอบอกว่าเสียชีวิตแล้ว เพราะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน จึงได้ให้นายจ้างโทรศัพท์มาแจ้งข่าวร้ายกับแม่"
ผู้เป็นแม่ กล่าวอีกว่า หากตนรู้ว่าลูกไปทำงานแล้วต้องไปตาย จะไม่ยอมให้ลูกไปเด็ดขาด แม้จะทุกข์ยากอย่างไรก็จะอดทนทำมาหากินอยู่บ้าน หากแลกชีวิตกับลูกได้ก็จะขอแลกให้ลูกกลับคืนมา ซึ่งนายเดือน สามี กำลังดำเนินเรื่องขอนำผู้ตายกลับบ้าน โดยมีแรงงานชาวไทยในเกาหลี ประกาศทางเพจเปิดรับบริจาคเพื่อส่งลูกชายกลับมาบ้าน ส่วนนายจ้างก็บอกว่าจะช่วยเหลือทุกอย่าง อาจจะเป็นการนำศพกลับมาบ้าน แต่ต้องใช้เงินจำนวนมาก ถึง 4-5 แสนบาท หรืออาจจะทำพิธีฌาปนกิจที่เกาหลี แล้วนำเถ้ากระดูกกลับมาก็ได้
ด้านนางยุทธศาสตร์ ทูลกลาง นักวิชาการแรงงานชำนาญการ สนง.จัดหางาน จ.อุดรธานี กล่าวว่า จากการสอบถามพูดคุยกับนางจันทร์เพ็ญ ทราบว่า ผู้ตายไปทำงานที่เกาหลีใต้แบบผิดกฎหมาย หรือที่เรียกว่าแรงงานผี ไม่ผ่านทางกรมการจัดหางาน โดยไปทำงานพร้อมกับนายเดือน ผู้เป็นพ่อ เบื้องต้น ทางจัดหางานจังหวัด ไม่สามารถให้ความช่วยเหลืออะไรได้ เพราะเป็นการลักลอบไปทำงานแบบผิดกฎหมาย จึงให้ทางครอบครัวประสานไปยังสถานกงสุลในการติดต่อรับศพกลับมา และทราบว่าทางนายจ้างชาวเกาหลี พร้อมให้ความช่วยเหลือในการนำร่างกลับบ้าน แต่ค่าใช้จ่ายจะสูงมาก หากนำเป็นเถ้ากระดูกกลับมา ค่าใช้จ่ายจะถูกลง และยังจะเหลือเงินสำหรับดำเนินการต่างๆ ได้ ทั้งนี้ ทราบว่าผู้เป็นพ่อจะเป็นผู้นำ นายประพันธ์ กลับมาเอง.