สำนักข่าวญี่ปุ่นชี้ นายก สมัย 2 นำประเทศไทยถอยลงสู่ยุค 1980 ประชาธิปไตยครึ่งใบ
สื่อญี่ปุ่นชี้ ‘ประยุทธ์’ เป็น น า ย ก ฯ สมัย 2 นำไทยย้อนสู่ยุค 1980 สื่อต่างชาติร่วมประเมินก า ร เ มื อ ง ไทย สมัยรัฐบาล ‘ประยุทธ์ 2’ โดยนิกเกอิเอเชี่ยนรีวิวชี้ ก า ร เ มื อ ง ไทยจะย้อนกลับไปเกือบ 40 ปีที่แล้ว-ยุคประชาธิปไตยครึ่งใบ
โทรุ ทาคาฮาชิ บรรณาธิการข่าวประจำภูมิภาคเอเชียของ ‘นิกเกอิเอเชี่ยนรีวิว’ สื่อวิเคราะห์เศรษฐกิจก า ร เ มื อ ง ของญี่ปุ่น เผยแพร่บทความเมื่อวันที่ 8 มิ.ย. โดยใช้ชื่อว่า Prayuth’s return as prime minister takes Thailand back to 1980s หรือ “พล.อ.ประยุทธ์เป็น น า ย ก ฯ อีกสมัย
ทำให้ประเทศไทยย้อนกลับไปสู่ยุค 1980” (พ.ศ.2523) โดยเนื้อหาในบทความระบุว่า ยุคดังกล่าวคือยุคที่ไทยถูกปกครองแบบ ‘ประชาธิปไตยครึ่งใบ’
บทความของทาคาฮาชิระบุว่า หลังจากมีการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองสมัย พ.ศ.2475 ก อ ง ทั พ ไทยใช้ทั้งกำลังอาวุธและอำนาจทางก า ร เ มื อ ง แทรกแซงฝ่ายนิติบัญญัติ
รวมถึงสกัดกั้นการเติบโตของพรรคก า ร เ มื อ ง หลายพรรค แต่ทุกอย่างเปลี่ยนไปในสมัยที่พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เข้ารับตำแหน่ง น า ย ก รัฐมนตรี นับตั้งแต่ปี พ.ศ.2523 เรื่อยไปจนถึง พ.ศ. 2531
ทั้งนี้ พลเอกเปรมใช้กระบวนการในระบอบรัฐสภาเพื่อแก้ปัญหาทางก า ร เ มื อ ง ไม่ว่าจะเป็นการปรับคณะรัฐมนตรีอยู่เรื่อยๆ หรือไม่ก็ยุบสภาก่อนจัดการเลือกตั้งใหม่ ทำให้ก อ ง ทั พ ยกย่องพลเอกเปรมในฐานะผู้นำรัฐบาลที่สามารถอยู่ในอำนาจได้นานถึง 8 ปี ทั้งยังเป็นช่วงเวลาที่เศรษฐกิจของไทยขยายตัวอย่างรวดเร็ว
เมื่อพลเอกเปรมก้าวลงจากตำแหน่ง ประชาชนมีโอกาสเลือกตั้ง จนได้มาซึ่ง น า ย ก รัฐมนตรีคนใหม่ ไทยจึงเข้าสู่ยุค ‘ประชาธิปไตยเต็มใบ’
อย่างไรก็ตาม ความขัดแย้งทางก า ร เ มื อ ง ไทยเริ่มปะทุขึ้นอีกครั้งในยุครัฐบาล ‘ทักษิณ ชินวัตร’ ซึ่งใช้วิธีปกครองแบบอำนาจนิยมและใช้เงินอัดฉีดแก่กลุ่มประชาชนฐานรากในพื้นที่ชนบท ทำให้เขากลายเป็นผู้นำได้รับความนิยมอย่างมากจากกลุ่มคนส่วนใหญ่ของประเทศ
แต่ส่งผลกระทบต่อกลุ่มชนชั้นนำที่มีแนวคิดอนุรักษนิยม และขั้วอำนาจเดิมที่สามารถต่อรองในสังคมไทยได้ นำไปสู่การชุมนุม ป ร ะ ท้ ว ง ขับไล่ของประชาชนที่สนับสนุนฝ่ายอนุรักษนิยม และการก่อรัฐประหารยึดอำนาจของก อ ง ทั พ
ทาคาฮาชิระบุว่า ความขัดแย้งทางก า ร เ มื อ ง เป็น ‘เรื่องปกติ’ ที่เกิดขึ้นทั่วโลก แต่ก า ร เ มื อ ง ไทยมีลักษณะเฉพาะบางประการที่แตกต่างจากที่อื่นๆ นั่นคือการที่สังคมไทยพึ่งพิงการรัฐประหารและการชุมนุม ป ร ะ ท้ ว ง ในการแก้ปัญหาความขัดแย้ง แทนที่จะเผชิญหน้ากันด้วยการเลือกตั้งหรือการอภิปรายในระบอบรัฐสภา ซึ่งเป็นวิธีการพื้นฐานในสภา ตามระบอบประชาธิปไตยที่เป็นสากล
ศาสตราจารย์อิคุโอะ อิวาซากิ อดีตนักวิชาการประจำมหาวิทยาลัยทะคุโชกุของญี่ปุ่น ถูกอ้างอิงในบทความดังกล่าว โดยเขาแสดงความคิดเห็นว่า “ประเทศไทยมีการเลือกตั้งทุกๆ 4 หรือ 5 ปี บ่งชี้ว่าไทยมีกระบวนการทางก า ร เ มื อ ง ภายใต้ระบอบประชาธิปไตย แต่ก็ดูเหมือนว่าความรู้ความเข้าใจเรื่องกฎกติกาขั้นพื้นฐานนั้นยังมีอยู่น้อยมาก โดยเฉพาะถ้าคุณแพ้การเลือกตั้ง คุณก็ต้องยอมรับความพ่ายแพ้และยอมถอย”
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ ซึ่งได้รับเลือกกลับมาเป็น น า ย ก รัฐมนตรีอีกครั้ง ไม่อาจทำให้ไทยกลับไปสู่ยุคประชาธิปไตยเต็มใบได้ เพราะการเลือกตั้งครั้งล่าสุด เกิดขึ้นภายใต้เงื่อนไขของรัฐธรรมนูญที่ถูกออกแบบมาเพื่อให้ฝ่ายสนับสนุนก อ ง ทั พ ได้ประโยชน์
เห็นได้จากการกำหนดว่า น า ย ก รัฐมนตรีไม่จำเป็นจะต้องมาจาก ส.ส.ที่ได้รับการเลือกตั้ง หรือแม้แต่เงื่อนไขที่กำหนดให้สมาชิกวุฒิสภา ‘ซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากบุคคลในก อ ง ทั พ ‘ มีสิทธิลงคะแนนเลือก น า ย ก ฯ ได้ด้วย
สิ่งเหล่านี้ทำให้ประเทศไทยย้อนกลับไปสู่ยุคที่เรียกว่า ‘รัฐบาลพลเรือนปลอม’ เพราะผู้อยู่เบื้องหลังตัวจริงหรือก อ ง ทั พ และนายทหาร
นอกจากนี้ บทความของทาคาฮาชิยังอ้างอิงผลการจัดอันดับดัชนีประชาธิปไตยของธนาคารโลกในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา พบว่าไทยตกจากอันดับที่ 80 มาอยู่ที่อันดับ 161 บ่งชี้ว่าไทยยังต้องพัฒนาและปรับโครงสร้างทางสังคมและก า ร เ มื อ ง ต่อไป เพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางประชาธิปไตยที่เป็นสากล