งานท่อร้อยสาย กทม. พันกันยุ่งอีรุงตุงนัง
ข่าวทรูได้สัมปทาน 30 ปี งานท่อร้อยสายสื่อสารใต้ดินของกทม. มูลค่ากว่า 25,000 ล้านบาท กลายเป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นการผูกขาด เหตุเพราะเป็นเอกชนรายเดียวที่ได้รับสัมปทาน จึงกลายเป็นว่า ไปเตะตัดขาทีโอที ซึ่งมีแผนเก็บสายสื่อสารลงดินอยู่แล้ว แถมยังทำให้รายได้จากการเก็บค่าเช่าท่อร้อยสายต้องหายไปเป็นกอบเป็นกำ แทนที่จะทำให้ทีโอทีได้อิ่มหมีพีมัน แต่กลับต้องกลายเป็นหมันไปซะงั้น จึงต้องมีการฟ้องร้องรัฐบาลว่า กทม.ทำอย่างนี้เป็นการขัดมติคณะกรรมการดีอีที่มีมาก่อนหน้านี้ ที่ให้กทม.ไปหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการจัดระเบียบสายระโยงระยางลงดินหรือไม่
วันต่อมา นักข่าวไปถามเลขากสทช. ว่าเรื่องนี้เป็นยังไง คุณฐากรก็โต้กลับมาว่า ไม่ใช่การแย่งงานจากทีโอที แต่เป็นการทำงานกันคนละส่วน งานส่วนของทีโอที 400-500 กิโลเมตร ก็ยังอยู่ แต่ส่วนที่ให้สัมปทานเอกชนนี้เป็นพื้นที่ขยายใหม่ สำหรับเรื่องค่าเช่าบริการ ที่ทีโอทีฟ้องว่ากทม.คิดแพงกว่านั้น กสทช.ก็กำลังรอการจัดทำอัตราค่าเช่าจากกทม.อยู่ ซึ่งก็จะนำมาพิจารณาเปรียบเทียบ และให้ความมั่นใจว่าจะไม่ผลักภาระให้ประชาชน
เมื่อเลขากสทช.ออกมาพูดแล้ว ฝ่ายทีดีอาร์ไอจะอยู่เฉยได้ไง ก็ต้องออกมาอัดบ้าง โดยดร.สมเกียรติ เจ้าเดิม ก็ยังใช้มุขเดิม ๆ แต่แต่งเติมให้ดูเหมือนใหม่ว่า เรื่องนี้จะเป็นปัญหาการผูกขาดใหม่ในวงการโทรคมนาคมไทย ที่ทำให้ประเทศไทยไม่สามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้
แต่งานนี้ผมอ่านแล้ว รู้สึกเหตุผลฟังไม่ขึ้น เพราะพี่แกเล่นมโนเอาเองหมด ยังไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นจริง เป็นต้นว่า ผู้ได้รับสัมปทานจะใช้แท็กติกต่าง ๆ ในการกลั่นแกล้งผู้ประกอบการโทรคมนาคมรายอื่น ทำให้มีปัญหาโน้นนี้นั้น ตรงนี้ผมมองว่า ถึงเวลาจริงไม่มีใครมานั่งทำอย่างนั้นหรอกครับ เสียเวลาทำมาหากิน และจะเสียเครดิตผู้ให้บริการของเขาด้วย เพราะถ้ามีปัญหาอะไรเกิดขึ้น เขาเองต้องเป็นผู้แก้ แล้วใครจะหาเหาใส่หัว
อย่างเรื่องผูกขาด คุณสมเกียรติเองแกก็พูดได้ไม่เต็มปาก เพราะงานแบบนี้ แกก็บอกเองว่า เป็นเรื่องปกติที่ต้องใช้ผู้ให้บริการรายเดียว ไม่งั้นจะเกิดการซ้ำซ้อน นี่ขนาดแกจะตี แกยังตีได้ไม่เต็มที่ และถ้าไม่ใช่บริษัทในเครือทรูมารับงานนี้ ผมว่าเผลอ ๆ เรื่องนี้อาจไม่มีใครออกมาใช้วาทกรรมผูกขาดด้วยซ้ำไป
ส่วนเรื่องข้อเสนอที่แกบอกให้ทำเหมือนต่างประเทศ คือ ให้กทม.เป็นผู้ให้บริการท่อร้อยสาย พร้อมไฟเบอร์เอง ผมว่าแกก็รู้ว่ากทม.ไม่ได้มีศักยภาพในการทำได้ และถ้าจะทำจริง กทม.ก็ต้องจ้างทำ หรือให้สัมปทานอยูดี แล้วมันจะต่างอะไรกับที่กทม.ทำอยู่ตอนนี้
สรุปว่าเรื่องนี้เป็นประเด็นขึ้นมา เพราะบริษัทที่ได้สัมปทานดันเป็นคู่แข่งของบริษัทที่มีแผนจะทำอยู่แล้ว และดันมียี่ห้อติดหลังที่สังคมหวาดระแวง ก็เลยโดนถล่มถาก ๆ ผ่านทางกทม. เพราะดูจากเสียงวิพากษ์วิจารณ์แล้ว น้ำหนักของเหตุและผลไม่แน่นพอ แถมไม่มีใครให้โซลูชั่นที่เหมาะสมชัดเจน คนที่ออกมาพูดล้วนมีอคติเป็นทุนเดิมอยู่แล้วทั้งนั้น
ถ้ามองกันอย่างแฟร์ ๆ ผมว่าการให้เอกชนมาทำก็เหมาะสมอยู่แล้ว เพราะหน่วยงานรัฐเองที่ได้รับสิทธิ์ไปทำบางส่วน ก็ทำงานช้า ผลงานที่ผ่านมาก็ประจักษ์หลายเรื่องแล้วว่าเป็นยังไง ดังนั้น การเปิดทางให้เอกชนเข้ามาทำ ก็ถือเป็นการเปิดให้เกิดแข่งขันกันได้จริง