รพ.บำรุงราษฎร์แสดงความเสียใจต่อผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือดขาวที่ได้รับเชื้อHIV จากการให้เลือด ยืนยันรักษาอย่างดีที่สุด
รพ.บำรุงราษฎร์แสดงความเสียใจต่อผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือดขาวที่ได้รับเชื้อเอดส์HIVจากการให้เลือดเมื่อ 15 ปีที่แล้ว ยืนยันรักษาอย่างดีที่สุด
โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ชี้แจงปมหนุ่มลูกครึ่งญี่ปุ่นรักษาป่วยมะเร็งเม็ดเลือดขาว แต่กลับได้รับเชื้อเอดส์ HIVจากการให้เลือดแทน ยอมรับเป็นผู้ป่วยเข้ารักษาตั้งแต่ปี 2547 เมื่อ 15 ปีก่อน แสดงความเสียใจและเห็นใจครอบครัวผู้ป่วย ยืนยันจะดูแลรักษาผู้ป่วยรายนี้อย่างดีที่สุด ตามหลักคุณธรรมและมนุษยธรรม
10 พฤษภาคม 2562-รายงานข่าวแจ้งว่า เมื่อวันที่ 9 พ.ค.นี้ ฝ่ายสื่อสารองค์กร โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ออกเอกสารชี้แจงกรณีผู้ป่วยพบการติดเชื้อเอชไอวีจากการรับเลือด โดยระบุว่า "จากกรณีที่รายการข่าวไทยรัฐนิวส์โชว์ ได้ทำการเผยแพร่ข่าว “หนุ่มวัย 24 ปีรักษามะเร็งที่โรงพยาบาลดังกลับได้รับเชื้อ HIV” เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2562 เมื่อเวลาประมาณ 20.53 น. ซึ่งมีการรายงานข้อมูลของผู้ป่วยและปรากฏภาพโลโก้ของโรงพยาบาลฯ บนเอกสารผู้ป่วยตามที่มีการเผยแพร่ในรายงานข่าวนั้น
โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ได้ทำการตรวจสอบแล้ว ขอชี้แจงว่าบุคคลในภาพข่าวนั้นเป็นผู้ป่วยของโรงพยาบาลและโรงพยาบาลฯได้รับผู้ป่วยรายดังกล่าวเข้ารับการรักษาอาการโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว เริ่มจากปี พ.ศ. 2547 คือ เมื่อ 15 ปี ก่อนเพื่อเป็นการปกป้องสิทธิของผู้ป่วย โรงพยาบาลฯ ไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลประวัติการรักษาผู้ป่วยรายดังกล่าวได้ แต่ขอถือโอกาสนี้ ชี้แจงข้อเท็จจริงเพื่อแสดงถึงจุดยืนในการให้การรักษาและการเยียวยาแก่ผู้ป่วย ตามหลักมนุษยธรรมที่โรงพยาบาลฯ ได้ปฏิบัติตลอดระยะเวลายาวนานที่ผ่านมา
1.ข้อปฏิบัติในการให้เลือด โรงพยาบาลฯ มีข้อปฏิบัติในการรับเลือดจากศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย เพื่อให้การรักษาแก่ผู้ป่วย ด้วยเป็นสถาบันที่มีการคัดเลือกและตรวจเลือดผู้บริจาคตามมาตรฐานระดับประเทศและระดับสากล มีมาตรการคัดกรองผู้บริจาคโลหิตด้วยแบบสอบถามและซักประวัติพฤติกรรมความเสี่ยง มีการตรวจทางห้องปฏิบัติการด้วยวิธีซีโรโลยี่ ด้วยน้ำยาที่มีความไวสูงสุด และตรวจด้วยวิธี Nucleic acid amplification test (NAT)
ดังนั้นผลิตภัณฑ์เลือดจะมีความปลอดภัยสูง ผ่านการตรวจคัดกรองการติดเชื้อต่างๆ รวมถึงการตรวจคัดกรองเชื้อ HIV ด้วย ในช่วงปี พ.ศ. 2547 ซึ่งผู้ป่วยรายนี้เข้ารับการรักษา ทางศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติฯ ได้ใช้เทคโนโลยีการตรวจคัดกรองเลือดผู้บริจาคที่มีประสิทธิภาพสูงด้วยเทคนิค NAT ที่สามารถตรวจพบสารพันธุกรรมของเชื้อไวรัสซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ใช้มาถึงปัจจุบัน แต่อย่างไรก็ตามการตรวจคัดกรองการติดเชื้อในเลือดยังมีข้อจำกัดกรณีท่ี่ผู้ บริจาคเพิ่งได้รับเชื้อเข้ามาใหม่ซึ่งในเลือดจะมีปริมาณเชื้อไม่มากพอที่จะตรวจพบได้ด้วยวิธีใดๆ (Window period) จึงอาจทำให้ผู้ป่วยได้รับเชื้อเหล่านี้แต่โอกาสที่จะเกิดขึ้นนั้นมีน้อยมาก
ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่าทางโรงพยาบาลต่างๆ ล้วนมีข้อปฏิบัติในการให้ผู้ป่วยรับทราบถึงความเสี่ยงในการติดเชื้อจากการได้รับเลือดซึ่งรวมถึงเชื้อ HIV ด้วย แล้วจึงลงนามยินยอมรับการให้เลือดเพื่อการรักษาที่จำเป็น
2.เรื่องการดูแลรักษาเพ่ื่อเยียวยาตามหลักมนุษยธรรม โรงพยาบาลฯ รู้สึกเสียใจอย่างยิ่งกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยรายดังกล่าวและยึดมั่นในการดูแลให้ความช่วยเหลือตามหลักมนุษยธรรมมาตลอดระยะเวลากว่า 10 ปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นการช่วยเหลือค่าดูแลรักษาเรื่อง HIV และอาการข้างเคียงอื่นๆ อันเป็นผลจากเชื้อ HIV โดยปรากฏในประวัติย้อนหลังผู้ป่วย ตั้งแต่วันแรกที่เข้ารับการรักษา เป็นจำนวนเงินกว่า 7 หลัก รวมการเข้ารักษาทั้งหมดจนถึงปัจจุบัน 266 ครั้ง ทั้งนี้ เป็นไปตามหลักการการบริบาลด้วยความเอื้ออาทรแก่ผู้ป่วยที่โรงพยาบาลฯ ยึดมั่นมาตลอดกว่า 38 ปี ของการดำเนินงาน
โรงพยาบาลฯ ขอแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและมีความเห็นใจต่อตัวผู้ป่วยตลอดจน ครอบครัวที่ได้รับผลกระทบจากกรณีดังกล่าว ทั้งนี้ โรงพยาบาลฯ ขอถือโอกาสนี้ยืนยันที่จะให้การดูแลรักษาผู้ป่วยรายนี้เป็นอย่างดีที่สุดต่อไป รวมถึงการพิจารณาให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติมในด้านอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการรักษาพยาบาลตามหลักคุณธรรมและมนุษยธรรมอย่างเหมาะสมต่อไป