รู้ให้ลึก เรื่อง “อาการปวดศีรษะ” เพราะอาจซ่อนอันตรายมากกว่าที่คุณคิด!
27, 2019
เป็นอาการที่เกิดขึ้นกับมนุษย์เราได้บ่อยที่สุด และในขณะเดียวกันก็สร้างความทุกข์ทรมานให้ผู้ที่เป็นได้มากด้วยเช่นกัน อาการปวดศีรษะเกิดได้จากหลายปัจจัย ทั้งปัจจัยภายในสมองของผู้ป่วย และปัจจัยภายนอก แต่ละส่วนยังสามารถแยกออกเป็นโรคได้อีกหลายชนิด ดังนั้นเพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมในการดูแลสุขภาพ เราจึงควรรู้เกี่ยวกับลักษณะอาการปวดศีรษะที่พบได้บ่อย เพื่อเป็นแนวทางในการดูแลตนเองให้ห่างไกลจากอาการปวดศีรษะนี้
สาเหตุของอาการปวดศีรษะ สามารถแบ่งออกเป็น 2 สาเหตุหลักๆ คือ
- การปวดศีรษะที่มีสาเหตุจากในสมอง เช่น เนื้องอกในสมอง เลือดออกในสมอง ความดันสมองเพิ่มผิดปกติ ภาวะเยื่อหุ้มสมองอักเสบ เป็นต้น โดยสามารถตรวจได้จากการตรวจร่างกายทางสมอง การซักประวัติผู้ป่วย รายละเอียดของการปวดศีรษะ ลักษณะการปวด ตำแหน่ง เวลาที่เกิดอาการ ระยะเวลาการปวด ความรุนแรง เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมาก และเมื่อพบข้อบ่งชี้ที่ชัดเจนจะตรวจเพิ่มเติมด้วย คลื่นสนามแม่เหล็ก (Magnetic Resonance Imaging : MRI), การตรวจคอมพิวเตอร์สมอง (Computerized Tomography :CT Scan) หรือการเจาะหลังเพื่อหาสาเหตุของโรค
“ปวดศีรษะ” ที่เป็นอยู่..เกิดจากโรคทางหรือไม่? มาดูกัน..
- เนื้องอกในสมอง อาการเริ่มต้นโดยส่วนใหญ่จะมีอาการปวดศีรษะมากเวลาตื่นนอนตอนเช้า พอสายอาการจะดีขึ้น เวลาไอ จาม การเบ่งขับถ่าย จะกระตุ้นให้ปวดเพิ่มขึ้น คลื่นไส้ อาเจียน ในบางครั้งมองไกลอาจเห็นภาพซ้อน และถ้าเนื้องอกกดทับในตำแหน่งใด จะมีอาการตามตำแหน่งนั้น เช่น กดทับในตำแหน่งควบคุมแขน ขา จะทำเกิดแขน ขา อ่อนแรง ชา
- เลือดออกในสมอง จะมีอาการแบบเฉียบพลันและปวดรุนแรงมาก เมื่อเวลาผ่านไปอาการจะยังไม่ดีขึ้นถึงแม้รับประทานยาแก้ปวดศีรษะ
- ความดันสมองเพิ่มผิดปกติ สามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น วัณโรค รับประทานยาวิตามินบำรุงผิวบางชนิด ยาคุมกำเนิด ผู้ป่วยจะมีการปวดศีรษะเรื้อรัง ตาพร่ามัว เห็นภาพซ้อน
- หลอดเลือดดำอุดตันในสมอง เกิดได้จากการรับประทานยาคุมกำเนิด คนอ้วนลักษณะของอาการ คือ ปวดศีรษะมากทันทีทันใด และอาจมีการชักร่วมด้วย
- การปวดศีรษะแบบไม่พบสาเหตุชัดเจน
- ปวดศีรษะแบบตึงตัว (Tension type headache) เป็นโรคปวดศีรษะที่พบได้บ่อยที่สุดมักเกิดกับบุคคลซึ่งมีความเครียด เหนื่อย ทำงานหนัก ลักษณะการปวดมักเป็นแบบแน่นๆ หรือ รัดทั้งสองข้างของศีรษะและต้นคอ โดยอาการปวดมักมีความรุนแรงน้อยถึงปานกลาง ซึ่งอาจมีการปวดของกล้ามเนื้อบริเวณศีรษะ คอ ไหล่ ร่วมด้วยได้ อาการปวดชนิดนี้ไม่แย่ลงจากกิจวัตรประจำวัน และมักไม่มีอาการคลื่นไส้อาเจียนร่วมด้วย
- ปวดศีรษะไมเกรน (Migraine headache) เป็นโรคปวดศีรษะที่พบได้บ่อย และมักได้รับการวินิจฉัยที่ผิดพลาด โดยโรคปวดศีรษะไมเกรนนี้มักพบได้บ่อยในผู้หญิงวัยทำงาน ลักษณะการปวดมักทำให้เกิดอาการปวดศีรษะรุนแรงปานกลางถึงรุนแรงมาก ซึ่งอาการปวดดังกล่าวจะแย่ลงได้จากสิ่งกระตุ้นภายนอก ทั้งแสง เสียง หรือกลิ่น ผู้ป่วยบางรายมักมีอาการคลื่นไส้อาเจียน ไมเกรนส่วนใหญ่มักจะปวดนานตั้งแต่ 4 ชั่วโมงขึ้นไป ในผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการปวดนานถึง 3 วัน
- ปวดศีรษะแบบกลุ่ม (Cluster headache) เป็นโรคปวดศีรษะที่พบได้ไม่บ่อยแต่ก่อให้เกิดความทุกข์ทรมานได้หากไม่ได้รักการวินิจฉัยและรักษาที่ถูกต้อง อาการปวดศีรษะชนิดนี้มักเกิดในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง โดยอาการปวดศีรษะมักมีอาการปวดที่รุนแรงจนทำให้ผู้ป่วยกระสับกระส่าย มักเกิดทันที ระยะเวลาที่ปวดประมาณ 15 นาทีถึง 3 ชั่วโมง ตำแหน่งที่ปวดมักปวดรอบดวงตาหรือบริเวณขมับมักเป็นข้างเดียว ผู้ป่วยจะมีอาการของระบบประสาท parasympathetic ร่วมด้วย เช่น มีตาแดง มีน้ำตาไหล มีน้ำมูก มีเหงื่อออก บริเวณใบหน้าด้านที่มีอาการปวดศีรษะ
- ปวดศีรษะแบบเรื้อรังทุกวัน (Chronic daily headache) ผู้ป่วยชนิดนี้มักมีอาการปวดศีรษะเรื้อรังมากกว่า 15 วันต่อเดือน อย่างน้อย 3 เดือน ซึ่งผู้ป่วยอาจมีอาการปวดศีรษะแบบ tension หรือแบบไมเกรนก็ได้ แต่ผู้ป่วยจะมีอาการเรื้อรังมากกว่า ในผู้ป่วยกลุ่มนี้ส่วนหนึ่งอาจเป็นโรคปวดศีรษะจากการใช้ยาเกิน(medication overuse headache) ซึ่งเกิดจากการวินิจฉัยที่ผิดพลาด การซื้อยากินเอง การใช้ยาแก้ปวดบ่อยๆ ซึ่งทำให้มีอาการปวดศีรษะเรื้อรังมากขึ้นเรื่อยๆ นอกจากนี้ ยังมีสาเหตุอื่นที่สามารถทำให้เกิดอาการปวดศีรษะได้อีก เช่น ภาวะไซนัสอักเสบ โรคหลอดเลือดสมอง โรคเลือดออกใต้เยื่อหุ้มสมอง โรคมะเร็ง เป็นต้น ทั้งนี้การวินิจฉัยต้องอาศัยการซักประวัติ ตรวจร่างกายอย่างละเอียด รวมถึงการตรวจเพิ่มเติม เช่น การทำ MRI เป็นต้น เพื่อช่วยวินิจฉัยแยกโรคที่ก่อให้เกิดอันตรายออกไป
สัญญาณอันตรายของภาวะปวดศีรษะ
ถึงแม้อาการปวดศีรษะส่วนใหญ่ไม่ได้เกิดจากโรคร้ายแรง แต่อย่างไรก็ตามหากผู้ป่วยที่มีภาวะปวดศีรษะที่มีอาการดังต่อไปนี้ ควรมาพบแพทย์โดยเร่งด่วน เพราะอาจเกิดจากสาเหตุที่เป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ เช่น อาจเกิดจากภาวะเลือดออกในสมอง หรือมีอาการติดเชื้อในระบบประสาท เป็นต้น สัญญาณอันตรายของภาวะปวดศีรษะ มีดังต่อไปนี้
- อาการปวดศีรษะขึ้นรุนแรงทันทีทันใด
- อาการปวดศีรษะร่วมกับมีไข้และคอแข็ง
- อาการปวดศีรษะร่วมกับอาการทางระบบประสาทที่ผิดปกติ เช่น แขนขาอ่อนแรง สับสน บุคลิกภาพที่เปลี่ยนแปลง เป็นต้น
- อาการปวดศีรษะในผู้ป่วยโรคมะเร็ง หรือ ผู้ป่วยที่ติดเชื้อ HIV
- ภาวะปวดศีรษะที่เป็นมากขึ้นเรื่อยๆ และไม่ตอบสนองต่อการรักษา
หากผู้ป่วยมีอาการดังกล่าวจำเป็นต้องได้รับการตรวจวินิจฉัยอย่างเร็วที่สุด ซึ่งจะนำไปสู่การรักษาที่ถูกต้องและรวดเร็วต่อไป
กลุ่มที่ควรระวังเป็นพิเศษ...หากมีอาการปวดศีรษะ
- ผู้ที่มีอาการปวดศีรษะแบบเฉียบพลันโดยที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
- ผู้ที่อายุมากกว่า 50 ปี
- ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น มะเร็งเต้านม เพราะอาจมีการกระจายไปที่สมองและกลุ่มคนไข้ที่ติดเชื้อเอดส์
แนวทางการรักษา “อาการปวดศีรษะ”
- กรณีปวดหัว และตรวจพบพยาธิสภาพของโรคต่างๆ แพทย์ก็จะดำเนินการรักษาโรคนั้นๆ ขึ้นอยู่กับว่าตรวจพบอะไร เช่น เนื้องอกในสมอง อาจจะต้องผ่าตัด เป็นต้น
- กรณีปวดหัวที่ไม่ก่ออันตราย ตรวจไม่พบพยาธิสภาพ แพทย์จะรักษาตามลักษณะอาการ ซึ่งมีหลายวิธีได้แก่..
- รักษาด้วยยาแก้ปวด ยาคลายกล้ามเนื้อหรือยาคลายเครียด พร้อมทั้งแนะนำการปฏิบัติตัวเพื่อหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้น
- การฉีดยา รักษาอาการปวดศีรษะด้วยการ block เส้นประสาทใช้ในการรักษาอาการปวดศีรษะอย่างแพร่หลายในต่างประเทศ มีประสิทธิภาพ และสามารถลดอาการปวดศีรษะได้อย่างรวดเร็ว โดย สามารถรักษา บรรเทาอาการ โรคปวดศีรษะได้หลายชนิด เช่น โรคไมเกรน โรคปวดศีรษะแบบ cluster, โรคปวดศีรษะจากการใช้ยาแก้ปวด (medication over used headache)
- การฉีดยาลดการทำงานของเส้นประสาท และการฉีดยารักษาไมเกรนด้วย โบท็อกซ์ ช่วยยับยั้งปลายประสาทที่ส่งสัญญาณความเจ็บปวดไปยังสมองด้วย เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้มันเกิดอาการ สามารถช่วยลดความรุนแรงและความถี่ของอาการปวดศีรษะได้
- การทำกายภาพบำบัด การนวด การยืดกล้ามเนื้อ
- การปรึกษาจิตแพทย์
เมื่อมีอาการปวดศีรษะควรดูแลตนเองอย่างไร
- เมื่อปวดศีรษะ รับประทานยาแก้ปวด ได้เท่าที่จำเป็น เช่น ในผู้ใหญ่รับประทาน Paracetamal (500 mg) 1 – 2 เม็ด ห่างกัน 4 – 6 ชั่วโมง ไม่ควรรับประทานติดต่อกัน นานเกิน 3 วัน หากไม่หายให้ไปพบแพทย์
- อย่าไปรักษาในแนวทางที่เสี่ยงอันตราย เช่น การนวดที่รุนแรง
- จัดสิ่งแวดล้อม สถานที่ทำงานให้เหมาะสม เช่น โต๊ะเก้าอี้ทำงาน ปรับระดับให้เหมาะสมกับสรีระร่างกายของเรา ดูว่าแสงสว่างที่โต๊ะทำงานสว่างพอไหม มีไฟกระพริบไหม
- ตรวจสายตาบ้างหากมีอาการปวดศีรษะผิดปกติ เพื่อเลือกใส่แว่นที่พอเหมาะกับสายตา
- หลีกเลี่ยงสถานการณ์หรือสิ่งกระตุ้น ที่ก่อให้เกิดความเครียดที่ทำให้ปวดหัว
- รู้จักพักผ่อนคลายเครียด นอนหลับให้เพียงพอ
- งดชากาแฟ บุหรี่ แอลกอฮอล์
- ปรึกษาแพทย์
หากคุณเป็นคนนึงที่อยู่ในวัยทำงาน นอนไม่ค่อยหลับ สายตาสั้นหรือยาวผิดปกติ และมีการรับประทานยาบางชนิดเป็นประจำ เมื่อมีอาการปวดศีรษะผิดปกติอย่านิ่งนอนใจ ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุอย่างละเอียด