ญี่ปุ่นชี้ "ชุดนักเรียน" คือสิ่งที่ทำลาย "ความคิดสร้างสรรค์" ของคนไทย ห่วงไปไม่รอดในยุคดิจิตอล
‘เครื่องแบบนักเรียน’ เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่บ่งบอกความเป็นวัฒนธรรมของประเทศไทย ซึ่งหลายครั้งชุดนักเรียนได้กลายเป็นประเด็นที่มีการถกเถียงกันมาหลายต่อหลายครั้ง
เมื่อไม่นานมานี้ เว็บไซต์สำนักพิมพ์ชื่อดัง Nikkei Asian Review ในญี่ปุ่น ได้นำเสนอรายงานพิเศษ “Tailor-made uniformity threatens Thai creativity” ที่ผ่านมา ระบุว่า ความเข้มงวดในการสวมใส่ชุดนักเรียน - นึกศึกษาของเยาวชนในสังคมไทยนั้นเป็นอุปสรรคต่อการฝึกฝนทักษะด้านความคิดสร้างสรรค์ โดยกล่าวความพยายามของ ร.ร.กรุงเทพคริสเตียน (Bangkok Christian College) ที่ก่อนหน้านี้เคยมีนโยบายทดลองให้นักเรียนแต่งตัวตามสบายมาเรียนในทุกวันอาคาร แต่แล้วก็ถูกปรามไว้จนต้องยุตินโยบายดังกล่าวไป เพราะมีหลายๆ ฝ่ายไม่เห็นด้วย
รายงานของสื่อญี่ปุ่นอ้างคำให้สัมภาษณ์ของ นายชลำ อรรถธรรม (Chalam Attham) เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน ที่กังวลว่านโยบายดังกล่าวของ ร.ร.กรุงเทพคริสเตียน อาจขัดต่อระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยเครื่องแบบนักเรียน พ.ศ.2551
และนั่นทำให้เกิดข้อถกเถียงในสังคมไทย โดยเฉพาะประเด็นประเทศไทยมีโครงสร้างสังคมเป็นแบบกึ่งศักดินา (semi-feudal) ให้ความสำคัญกับเครื่องแบบในฐานะเครื่องบ่งบอกสถานะที่สูงขึ้นมากกว่าบทบาทในหน้าที่การงาน
ไม่ต่างจากผู้คนในอาชีพอื่นๆ ในสังคมไทย ที่ยกเครื่องแบบเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของหมู่คณะ ตั้งแต่คนทำงานในโรงงาน พนักงานออฟฟิศ ทหาร ตำรวจ เจ้าหน้าที่ดับเพลิง ครู เจ้าหน้าที่ของรัฐ ขณะที่ระบบการศึกษาไทยมีการส่งเสริมค่านิยมรวมศูนย์ว่าด้วยอัตลักษณ์และวัฒนธรรมของชาติ โดยกระทรวงศึกษาธิการดำเนินบทบาทนี้มาตั้งแต่ทศวรรษที่ 1950s หรือตั้งแต่ปี 2493 เป็นต้นมา
มาร์วาอัน มาคาน-มาร์คาร์ (Marwaan Macan-Markar) ผู้เขียนรายงานนี้ให้ Nikkei Asian Review เล่าว่า ตนมาประเทศไทยในปี 2544 แล้วรู้สึกแปลกใจที่เห็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยต่างๆ แต่งกายเหมือนกันหมด กล่าวคือ ทุกคนสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวและกางเกงหรือกระโปรงสีดำ ราวกับเป็นโรงเรียนมัธยม อย่างไรก็ตามหลังจากนั้นมีการแบ่งปันรสนิยมในการสวมเครื่องแบบของนักศึกษาไทยไปยังประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ลาว กัมพูชา แม้กระทั่งในญี่ปุ่นเอง ด้วยความที่มองว่าการแต่งกายให้สอดคล้องกันนั้นเกื้อหนุนความกลมเกลียวกันในสังคม
ทั้งนี้ ประเทศไทยกำลังพยายามสร้างบุคลากรที่มีความสามารถทางคณิตศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์เพื่อยกระดับเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลทหารได้ชูยุทธศาสตร์ “ไทยแลนด์ 4.0” (Thailand 4.0) ดึงดูดการลงทุนในเศรษฐกิจดิจิตอลและเทคโนโลยีชั้นสูงเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับฐานการผลิต แต่ผลการศึกษาของธนาคารโลก (World Bank) ชี้ว่านักเรียนไทย 1 ใน 3 แม้อ่านหนังสือออกแต่ไม่สามารถจับใจความได้
เมื่อเทียบประเทศไทยกับคู่แข่งทางเศรษฐกิจที่สำคัญในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) อย่างเวียดนาม ซึ่งก็เป็นประเทศที่ส่งเสริมให้นักเรียนแต่งเครื่องแบบไปเรียนเช่นกัน พบว่า นักเรียนเวียดนามมีผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาสูงกว่านักเรียนไทย เช่น การสอบความรู้ประชากรอายุ 15 ปีในระดับนานาชาติ (PISA) ที่จัดสอบทุกๆ 3 ปี เยาวชนเวียดนามอันเป็นประเทศที่ปกครองโดยพรรคคอมมิวนิสต์ ทำคะแนนได้สูงกว่าเยาวชนไทยทั้งด้านคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และการอ่าน
บทความของสื่อญี่ปุ่นทิ้งท้ายว่า ประเทศไทยควรให้ความสำคัญกับการยกระดับคุณภาพการศึกษา มากกว่าเรื่องของความเป็นเอกภาพที่เป็นภาพลักษณ์ภายนอก หาไม่แล้วประเทศไทยจะล้มเหลวในยุคดิจิตอล อันเป็นยุคสมัยที่ส่งเสริมความเป็นปัจเจก ความคิดสร้างสรรค์ และอิสรภาพในการเติบโต
รายงานของ Nikkei Asian Review ยังอ้างถึงความเห็นของ ศศนันท์ บุญยะวนิช (Sasanun Bunyawanich) นักวิชาการคนหนึ่งของไทย เมื่อปี 2561 ที่ระบุว่า การกำหนดเครื่องแบบในมหาวิทยาลัยของไทยสะท้อนวัฒนธรรมว่าด้วยลำดับชั้นและความสอดคล้อง ซึ่งธรรมเนียมการใช้คำสั่งจากบนลงล่างในระบบการศึกษานั้นมีบทบาทในการปลูกฝังแนวคิดชาตินิยมแบบอนุรักษ์นิยมของไทย