หน้าแรก ตรวจหวย เว็บบอร์ด ควิซ Pic Post แชร์ลิ้ง หาเพื่อน Chat หาเพื่อน Line หาเพื่อน Skype Page อัลบั้ม แต่งรูป คำคม Glitter สเปซ ไดอารี่ เกมถอดรหัสภาพ เกม วิดีโอ คำนวณ การเงิน
ติดต่อเว็บไซต์ลงโฆษณาลงข่าวประชาสัมพันธ์แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสมเงื่อนไขการให้บริการ
เว็บบอร์ด บอร์ดต่างๆค้นหาตั้งกระทู้

โลกหน้าจักรวาลอื่นในพุทธศาสนา

โพสท์โดย สบายดี

มันก็เป็ความเชื่อกันมานานแล้วครับว่าเราเป็นคนกลุ่มเดียวในจักรวาลนี้ ต่อเมื่อวิทยาศาสตร์ก้าวหน้าขึ้นเราถึงรู้ว่าระบบสุริยจักรวาลเราเล็กมาก​ เทียบเท่าฝุ่นหรือเม็ดทรายบนพื้นโลก​ถ้าเทียบกับความใหญ่โตของเอกภพ​ก็ไม่มีใครยืนยันได้ว่าในจักรวาลอื่น​ กาแลคซี่อื่นจะมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่​ ไม่มีใครกล้าประกาศว่ามียกเว้นพระโคตมพุทธเจ้า​ ท่านกล่าวว่ามีมาตั้งแต่เมื่อ​๒๖๐๐ ปีก่อน

ขอเริ่มที่การทำความเข้าใจถึงพระพุทธเจ้าในสมัยเราคือพระโคตมพุทธเจ้า​ นามว่าสิทธัตถะ ท่านเป็นพระพุทธเจ้าประเภท​ พระปัญญาธิกพุทธเจ้า คือ พระพุทธเจ้าที่ทรงสร้างสมบารมีด้าน ปัญญา อย่างแก่กล้า​ (พระโพธิสัตว์จะสร้างบารมีเป็นพระพุทธเจ้าได้​ ๓​ วิธี)​ วีถีแห่งการสร้างบารมีทางปัญญาของพระโคตมพุทธเจ้านี้ใช้เวลาในการสร้างทั้งหมด​ ๒๐ อสงไขย​กับอีกเศษแสนมหากัปป์ เรื่องของอสงไขยกับกัปป์นั้นจะขอกล่าวในโอกสหน้า​ แต่ขอให้เข้าใจคร่าวๆก่อนว่า​ กัปป์ ๑ นั้น​ คือการแตกดับของโลกม​นุษย์​ ๑ ครั้ง​ ตรงนี้ก็น่าคิด ทำไมศาสนาพุทธถึงกล่าวถึงการแตกดับของโลก ทำไมต้องกล่าวถึงโลกอื่น​ ทำไม​ ๒๖๐๐​ ปีก่อน​ ถ้าพูดถึงโลกเดียวก็มีความใหญ่โตเพียงพอแล้ว​ ทำไมต้องพูดถึงโลกก่อนหน้าโลกนี้​ และพูดถึงโลกต่อจากโลกนี้​ ???

พูดถึงอสงไขย​ ในทางพุทธศาสนา​ถือว่าเป็นจำนวนปีที่นับไม่ได้​ มีการเปรียบเทียบ​ให้มีพระอรหันต์​มีอภิญญา​สามารถระลึกชาติได้​วันละ​ ๑๐๐,๐​๐๐ ชาติ​ พระอรหันต์​นั่งระลึกชาติไปทุกวันจนครบอายุขัย​ครบ ๑๐๐​ ปี​ ก็ยังระลึกได้ไม่หมด​ นั่นคือในอสงไขยหนึ่งเราเวียนว่ายตายเกิดกันนับครั้งไม่ถ้วน​ ในพระอภิธรรมมัตถสังคหะ​ ได้กล่าวถึงการละลึกชาติดังนี้

- พวกเดียรถีย์ คือ นักบวชภายนอกพระพุทธศาสนา​ ระลึกชาติได้ ๔๐ กัปป์
- ปกติสาวก คือ พระอริยบุคคลสามัญทั่วๆไประลึกชาติได้ ๑๐๐ถึง๑๐๐๐ กัปป์
- มหาสาวก คือ พระอรหันต์ที่มีวุฒิเป็นเลิศในทางใดทางหนึ่ง (ซึ่งมีรวมจำนวน ๘๐ องค์) ระลึกชาติได้ ๑ แสนกัปป์
- อัครสาวก คือ พระโมคคัลลาน์และพระสารีบุตร อัคคสาวกซ้ายขวา ระลึกชาติได้ ๑ อสงขัยกับ ๑ แสนกัปป์
- พระปัจเจกพุทธเจ้า ระลึกชาติได้ ๒ อสงขัยกับ ๑ แสนกัปป์
- พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ระลึกชาติได้ โดยไม่มีกำหนดขีดขั้น 

บุพเพนิวาสานุสสติญาณ พุทธปัญญาของพระพุทธเจ้า​สามารถ​ระลึกข้ามได้ครบทุกๆอสงไขย​ จึงเป็นสัพพัญญู​ผู้รู้ทุกสิ่งในเอกภพ​ ดังมีพระวัจจนะ​หนึ่งที่กล่าวในบาลี​มหาวาร. สํ ใจความว่า พระพุทธเจ้าได้เปรียบเทียบปัญญาที่ท่านตรัสรู้มากมายเหมือนใบไม้ในป่า​ แต่ที่ท่านนำมาสอนเปรียบเสมือนใบไม่จำนวนเล็กน้อยในกำมือของท่านซึ่งความรู้ที่ท่านนำมาสอนนี้ก็เพียงพอจะก่อให้เกิดประโยชน์สิ้นทุกข์ตัดภพตัดชาติบรรลุนิพพานได้

ทีนี้กล่าวถึงการระลึกชาติของพระพุทธเจ้า​ ทำให้เข้าใจได้ว่ามีโลกในกัปป์อื่นนั้น​ บางโลกที่พระพุทธเจ้าได้เคยอาศัย​ ท่านก็เคยเกิดมาแล้วทุกอย่าง​ ทั้งเกิดในนรก​ เกิดเป็นสัตว์ เกิดเป็นมนุษย์​ ท่านเรียนรู้สะสมบารมีจนเกิดเป็นพระโพธิสัตว์​สร้างบารมีอีก​ยาวนานกว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์เองท่านก็เคยตรัสกับพระสารีบุตร​ ว่าตลอดกาลยืดยาวช้านาน มีเพียงเทวโลกชั้นสุทธาวาสเท่านั้น ที่พระองค์ไม่เคยไปเกิด พระองค์ผ่านเรียนรู้สั่งสมปัญญามามากมายและระลึกได้ทั้งหมด​ ก็ย่อมรู้โลกที่ผ่านมามีความหลากหลาย​เพียงใด บางโลกก็ด้อยกว่าโลกปัจจุบัน​ บางโลกก็เจริญก้าวหน้ากว่าโลกปัจจุบัน​ ธรรมะที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้นั้นยากที่จะทำความเข้าใจ​ เปรียบเหมือนให้คุณเอาความรู้ที่คุณมีอยู่ในปัจจุบันไปสอนมนุษย์หินมนุษย์ถ้ำเมื่อ​ ๑๐,๐๐๐ ปีก่อน​ ให้อ่านออกเขียนได้ภายในชั่วอายุขัยของคุณ​ ทำได้ยากนะ พระพุทธเจ้าเองท่านก็รู้ว่ายาก​ เพราะสมัยนั้นเป็นเทวนิยมฝังรากลึก​ในหมู่มนุษย์​ คำสอนของท่านตรงข้ามต่างจากความเชื่อเดิมที่มีอยู่​โดยสิ้นเชิง​​ หากพระพุทธเจ้าท่านไม่สอนใคร​ ท่านก็เป็นปัจเจคพุทธเจ้า​ตรัสรู้เอง​ ปรินิพพาน​ไปเองพระองค์​เดียว​ แต่พระองค์​ทรงมีเมตตาที่ยังเห็นบัวอีก​ ๓​ เหล่าที่ยังพอมีปัญญา​หลุดพ้นจากการเวียนตายเวียนเกิดได้​ ท่านจึงตัดสินใจเผยแผ่ประกาศ​ศาสนาพุทธขึ้นมา (​ตอนต่อไปจะกล่าวถึงวันประกาศศาสนา)​

มีอีกหลักฐานหนึ่งที่พระพุทธเจ้าได้กล่าวถึงโลกอื่น​ ก่อนหน้าโลกปัจจุบัน​ มีอยู่ในปุคคลสูตรใจความว่าสมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ภูเขาคิชฌกูฏ เขตพระนครราชคฤห์​ ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย สงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้น เบื้องปลายไม่ได้ ฯลฯ เมื่อบุคคลหนึ่งท่องเที่ยวไปมาอยู่ตลอดกัปหนึ่งพึงมีโครงกระดูก ร่างกระดูก กองกระดูก ใหญ่เท่าภูเขาเวปุลละนี้ ถ้ากองกระดูกนั้นพึงเป็นของที่จะขนมารวมกันได้ และ​ กระดูกที่ได้สั่งสมไว้แล้ว ก็ไม่พึงหมดไป(หมายถึงถ้าไม่ย่อยสลายคืนธาตุกลับธรรมชาติ)​ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่า สงสารนี้กำหนดที่สุด​ เบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ ฯลฯ

ต่อไปเรามาพิจารณาภพชาติที่เวียนตายเวียนเกิดจากคำอุปมา​ของพระพุทธเจ้า​ที่ว่า"กองกระดูกเท่าเขาเวปุลละ" ปัจจุบันเรารู้จักแต่เขาคิชฌกูฏ​ที่เป็นที่อยู่จำพรรษาของพระพุทธเจ้ากับสาวก​ มีหลักฐานห้อง​อาศัย โพรงซอกหินอยู่ ปัจจุบันเขาคิชฌกูฏ​ตั้งอยู๋ที่​ จังหวัดนาลันทา รัฐพิหาร ประเทศอินเดีย แต่เราไม่รู้จักเวปุลละ​ ที่พระพุทธเจ้าอ้างถึง​ รู้แต่ว่าอยู่ทิศเหนือของภูเขาคิชฌกูฏ เราไม่รู้ขนาดสันฐาน​แต่ก็สามารคาดคะเนได้จาก​ที่พระพุทธเจ้ากล่าวกับสาวกว่า

"ในสมัยพระพุทธเจ้ากกุสันธะ เขาเวปุลลบรรพตนี้ได้ชื่อว่าปาจีนวังสะ​ มีหมู่มนุษย์ชื่อว่าติวราอาศัยอยู่​ ชาวเมืองติวราขึ้นเขาใช้เวลาขึ้นเขา​ ๔ วัน​ ลงอีก​ ๔ วัน

ต่อมาในสมัยพระพุทธเจ้าโกนาคมนะ เขาเวปุลละนี้มีชื่อว่าวงกต สมัยนั้นหมู่มนุษย์มีชื่อว่าโรหิตัสสะ ใช้เวลาขึ้นเขาวงกต​ ๓​วัน​ ลงเขาอีก​ ๓​ วัน

ต่อมาสมัยพระพุทธเจ้ากัสสปะ​ เขาเวปุลละนี้มีชื่อว่า​สุปัสสะ สมัยนั้นหมู่มนุษย์ชื่อสุปนียา ใช้เวลาขึ้นเขา​ ๒​ วัน​ ลงเขาอีก​ ๒​ วัน​

ต่อมาในโลกปัจจุบันของพระพุทธเจ้าโคตมะ​ เขาเวปุลละ​ก็ชื่อเวปุลละ​ มีหมู่มนุษย์ที่ชื่อมาคธะ(ชาวมคธ)​ ใช้เวลาขึ้นเขาชั่วครู่เดียว​ ลงอีกชั่วครู่เดียว"

ผมจึงสันนิษฐาน​ว่าเขาเวปุลละในโลกปัจจุบันอาจเป็นเพียงเนินดิน​หรือภูเขาเตี้ยๆเล็ก​ ถ้าจะหาขนาดสันฐานขนาดของเขาเวปุลละ​ว่ากองกระดูกที่พระพุทธเจ้ากล่าวถึงมีการเวียนวายตายเกิดกี่ครั้ง ผมก็ขออนุมาน​การขึ้นเขาของชาวสุปนียา ในสมัยนั้นพระพุทธเจ้ากัสสปะ​ จะมีพระวรกายสูง​ ๒๐ ศอก​ มนุษย์​ในโลกก่อนนั้นจึงมีความสูงกว่ามนุษย์​โลกปัจจุบัน​ ๕​ เท่า​ สมมุติ​มนุษย์ปัจจุบันปีนขึ้นเขาได้ระยะทางความสูงวันละ​ ๔ กิโล​ ชาวสุปนียาก็ควรขึ้นเขาได้วันละ​ ๒๐​ กิโล​ ชาวสุปนียาใช้เวลาขึ้นเขาเวปุลละ​ ๒​ วัน​ ดังนั้นขออนุมาน​ว่า​ เขานั้นสูง​ ๔๐ กิโล​ เมื่อลดขนาดสัดส่วนให้เหลือขนาดของมนุษย์ปัจจุบันก็นำ​ ๕​ ไปหาร​ ๔๐ จะได้ความสูง​ ๘​ กิโล​ ผมใช้สมการหาพื้นที่สามเหลี่ยมด้านเท่า​ s=h2/root3 จะได้ ๓๖.๙​ ผมขอปัดเป็น​ ๓๗ แปลงเป็นพื้นที่ตารางเมตร​ จะได้​พื้นที่ขนาด​ ๓๗,๐๐๐,๐๐๐,๐​๐๐​ ตารางเมตร​ ถ้าพื้นที่​ ๑ ตารางเมตรบรรจุกระดูกได้​ ๒​ กอง​ คือเหมารวมๆไป​ ประมานว่าเกิดเป็นสัตว์ใหญ่บ้างเล็กบ้าง​ แต่ให้ใช้พื้นที่​กระดูก​ ๒​ กองเท่ากับ​ ๑ ตารางเมตร​ ดังนั้นกองกระดูกที่สูงเท่าเขาเวปุลละ​ จะต้องมีการตายเกิดวนเวียนอยู่ไม่น้อยกว่า​ ๗๔,๐๐๐,๐๐๐,๐​๐๐ เจ็ดหมื่นสี่พันล้านชาติ​ (นี่เป็นการคาดคะเนแบบหยาบๆคือกระดูก​ ๒กอง/๑ตรม)

ตรงนี้เป็นข้อสันนิษฐาน​ของผม ท่านจะเชื่อไม่เชื่อก็เรื่องของท่าน ผมแค่ต้องการให้เห็นภาพของการเวียนว่ายตายเกิดว่ามีจำนวนมากมายขนาดไหน​ โดยอนุมาน​จากเรื่องราวในพระไตรปิฎก​ มาเชื่อมโยงคิดประมาณ​เอาเอง​ ต้องการให้เห็นภาพว่านอกจากโลกที่เราอาศัยอยู่​ ยังมีโลกอื่นๆอยู่อีก​ และโลกที่เราอาศัยอยู่นี้วันหนึ่งก็ต้องแตกดับเหมือนโลกก่อนๆที่เคยมีมา​ เพราะฉนั้นถ้าคิดว่าตายจากโลกนี้​ จะไม่มีภพชาติอื่นรออยู่ถือว่าคิดผิด​ครับ

โพสท์โดย: อาลมดี
แหล่งที่มา: พระไตรปิฎก
⚠ แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม 
สบายดี's profile


โพสท์โดย: สบายดี
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
15 VOTES (5/5 จาก 3 คน)
VOTED: แมวลาย ตัวลายๆ, Guffy, challen
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
iPhone รุ่นประหยัดมาแล้ว!รวมภาพความฮา แบบสร้างสรรค์ ของคนเขมร กับ นักท่องเที่ยวกับรูปปั้นม้าน้ำอันโด่งดังในโลกโซเชียลตอนนี้พ่อของ "น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์" เสียชีวิตแล้วหมวกพลร่มเยอรมันสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง!ต้าวสาบ..น่าร๊าคอ่า!ผ้าขี้ริ้ววัว หรือสไบนาง ส่วนที่มักถูกเอามาทำอาหารยอดนิยม คืออะไรและอยู่ตรงส่วนไหนของวัว4สำนักดัง ให้เลขชนกันอีกแล้ว งวด 2 พฤษภาคม 2567เลขปฏิทินจีน2พ.ค.673 แมงป่องที่มีพิษร้ายแรงที่สุดในโลก
Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
ของในร้านนี้หยิบได้ฟรีทุกชิ้นพ่อของ "น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์" เสียชีวิตแล้วiPhone รุ่นประหยัดมาแล้ว!ต้าวสาบ..น่าร๊าคอ่า!รวมภาพความฮา แบบสร้างสรรค์ ของคนเขมร กับ นักท่องเที่ยวกับรูปปั้นม้าน้ำอันโด่งดังในโลกโซเชียลตอนนี้
กระทู้อื่นๆในบอร์ด สนทนาธรรม
พระพักตร์พระแก้วมรกต
ตั้งกระทู้ใหม่