โลกหน้าจักรวาลอื่นในพุทธศาสนา
มันก็เป็ความเชื่อกันมานานแล้วครับว่าเราเป็นคนกลุ่มเดียวในจักรวาลนี้ ต่อเมื่อวิทยาศาสตร์ก้าวหน้าขึ้นเราถึงรู้ว่าระบบสุริยจักรวาลเราเล็กมาก เทียบเท่าฝุ่นหรือเม็ดทรายบนพื้นโลกถ้าเทียบกับความใหญ่โตของเอกภพก็ไม่มีใครยืนยันได้ว่าในจักรวาลอื่น กาแลคซี่อื่นจะมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ ไม่มีใครกล้าประกาศว่ามียกเว้นพระโคตมพุทธเจ้า ท่านกล่าวว่ามีมาตั้งแต่เมื่อ๒๖๐๐ ปีก่อน
ขอเริ่มที่การทำความเข้าใจถึงพระพุทธเจ้าในสมัยเราคือพระโคตมพุทธเจ้า นามว่าสิทธัตถะ ท่านเป็นพระพุทธเจ้าประเภท พระปัญญาธิกพุทธเจ้า คือ พระพุทธเจ้าที่ทรงสร้างสมบารมีด้าน ปัญญา อย่างแก่กล้า (พระโพธิสัตว์จะสร้างบารมีเป็นพระพุทธเจ้าได้ ๓ วิธี) วีถีแห่งการสร้างบารมีทางปัญญาของพระโคตมพุทธเจ้านี้ใช้เวลาในการสร้างทั้งหมด ๒๐ อสงไขยกับอีกเศษแสนมหากัปป์ เรื่องของอสงไขยกับกัปป์นั้นจะขอกล่าวในโอกสหน้า แต่ขอให้เข้าใจคร่าวๆก่อนว่า กัปป์ ๑ นั้น คือการแตกดับของโลกมนุษย์ ๑ ครั้ง ตรงนี้ก็น่าคิด ทำไมศาสนาพุทธถึงกล่าวถึงการแตกดับของโลก ทำไมต้องกล่าวถึงโลกอื่น ทำไม ๒๖๐๐ ปีก่อน ถ้าพูดถึงโลกเดียวก็มีความใหญ่โตเพียงพอแล้ว ทำไมต้องพูดถึงโลกก่อนหน้าโลกนี้ และพูดถึงโลกต่อจากโลกนี้ ???
พูดถึงอสงไขย ในทางพุทธศาสนาถือว่าเป็นจำนวนปีที่นับไม่ได้ มีการเปรียบเทียบให้มีพระอรหันต์มีอภิญญาสามารถระลึกชาติได้วันละ ๑๐๐,๐๐๐ ชาติ พระอรหันต์นั่งระลึกชาติไปทุกวันจนครบอายุขัยครบ ๑๐๐ ปี ก็ยังระลึกได้ไม่หมด นั่นคือในอสงไขยหนึ่งเราเวียนว่ายตายเกิดกันนับครั้งไม่ถ้วน ในพระอภิธรรมมัตถสังคหะ ได้กล่าวถึงการละลึกชาติดังนี้
- พวกเดียรถีย์ คือ นักบวชภายนอกพระพุทธศาสนา ระลึกชาติได้ ๔๐ กัปป์
- ปกติสาวก คือ พระอริยบุคคลสามัญทั่วๆไประลึกชาติได้ ๑๐๐ถึง๑๐๐๐ กัปป์
- มหาสาวก คือ พระอรหันต์ที่มีวุฒิเป็นเลิศในทางใดทางหนึ่ง (ซึ่งมีรวมจำนวน ๘๐ องค์) ระลึกชาติได้ ๑ แสนกัปป์
- อัครสาวก คือ พระโมคคัลลาน์และพระสารีบุตร อัคคสาวกซ้ายขวา ระลึกชาติได้ ๑ อสงขัยกับ ๑ แสนกัปป์
- พระปัจเจกพุทธเจ้า ระลึกชาติได้ ๒ อสงขัยกับ ๑ แสนกัปป์
- พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ระลึกชาติได้ โดยไม่มีกำหนดขีดขั้น
บุพเพนิวาสานุสสติญาณ พุทธปัญญาของพระพุทธเจ้าสามารถระลึกข้ามได้ครบทุกๆอสงไขย จึงเป็นสัพพัญญูผู้รู้ทุกสิ่งในเอกภพ ดังมีพระวัจจนะหนึ่งที่กล่าวในบาลีมหาวาร. สํ ใจความว่า พระพุทธเจ้าได้เปรียบเทียบปัญญาที่ท่านตรัสรู้มากมายเหมือนใบไม้ในป่า แต่ที่ท่านนำมาสอนเปรียบเสมือนใบไม่จำนวนเล็กน้อยในกำมือของท่านซึ่งความรู้ที่ท่านนำมาสอนนี้ก็เพียงพอจะก่อให้เกิดประโยชน์สิ้นทุกข์ตัดภพตัดชาติบรรลุนิพพานได้
ทีนี้กล่าวถึงการระลึกชาติของพระพุทธเจ้า ทำให้เข้าใจได้ว่ามีโลกในกัปป์อื่นนั้น บางโลกที่พระพุทธเจ้าได้เคยอาศัย ท่านก็เคยเกิดมาแล้วทุกอย่าง ทั้งเกิดในนรก เกิดเป็นสัตว์ เกิดเป็นมนุษย์ ท่านเรียนรู้สะสมบารมีจนเกิดเป็นพระโพธิสัตว์สร้างบารมีอีกยาวนานกว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์เองท่านก็เคยตรัสกับพระสารีบุตร ว่าตลอดกาลยืดยาวช้านาน มีเพียงเทวโลกชั้นสุทธาวาสเท่านั้น ที่พระองค์ไม่เคยไปเกิด พระองค์ผ่านเรียนรู้สั่งสมปัญญามามากมายและระลึกได้ทั้งหมด ก็ย่อมรู้โลกที่ผ่านมามีความหลากหลายเพียงใด บางโลกก็ด้อยกว่าโลกปัจจุบัน บางโลกก็เจริญก้าวหน้ากว่าโลกปัจจุบัน ธรรมะที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้นั้นยากที่จะทำความเข้าใจ เปรียบเหมือนให้คุณเอาความรู้ที่คุณมีอยู่ในปัจจุบันไปสอนมนุษย์หินมนุษย์ถ้ำเมื่อ ๑๐,๐๐๐ ปีก่อน ให้อ่านออกเขียนได้ภายในชั่วอายุขัยของคุณ ทำได้ยากนะ พระพุทธเจ้าเองท่านก็รู้ว่ายาก เพราะสมัยนั้นเป็นเทวนิยมฝังรากลึกในหมู่มนุษย์ คำสอนของท่านตรงข้ามต่างจากความเชื่อเดิมที่มีอยู่โดยสิ้นเชิง หากพระพุทธเจ้าท่านไม่สอนใคร ท่านก็เป็นปัจเจคพุทธเจ้าตรัสรู้เอง ปรินิพพานไปเองพระองค์เดียว แต่พระองค์ทรงมีเมตตาที่ยังเห็นบัวอีก ๓ เหล่าที่ยังพอมีปัญญาหลุดพ้นจากการเวียนตายเวียนเกิดได้ ท่านจึงตัดสินใจเผยแผ่ประกาศศาสนาพุทธขึ้นมา (ตอนต่อไปจะกล่าวถึงวันประกาศศาสนา)
มีอีกหลักฐานหนึ่งที่พระพุทธเจ้าได้กล่าวถึงโลกอื่น ก่อนหน้าโลกปัจจุบัน มีอยู่ในปุคคลสูตรใจความว่าสมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ภูเขาคิชฌกูฏ เขตพระนครราชคฤห์ ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย สงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้น เบื้องปลายไม่ได้ ฯลฯ เมื่อบุคคลหนึ่งท่องเที่ยวไปมาอยู่ตลอดกัปหนึ่งพึงมีโครงกระดูก ร่างกระดูก กองกระดูก ใหญ่เท่าภูเขาเวปุลละนี้ ถ้ากองกระดูกนั้นพึงเป็นของที่จะขนมารวมกันได้ และ กระดูกที่ได้สั่งสมไว้แล้ว ก็ไม่พึงหมดไป(หมายถึงถ้าไม่ย่อยสลายคืนธาตุกลับธรรมชาติ) ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่า สงสารนี้กำหนดที่สุด เบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ ฯลฯ
ต่อไปเรามาพิจารณาภพชาติที่เวียนตายเวียนเกิดจากคำอุปมาของพระพุทธเจ้าที่ว่า"กองกระดูกเท่าเขาเวปุลละ" ปัจจุบันเรารู้จักแต่เขาคิชฌกูฏที่เป็นที่อยู่จำพรรษาของพระพุทธเจ้ากับสาวก มีหลักฐานห้องอาศัย โพรงซอกหินอยู่ ปัจจุบันเขาคิชฌกูฏตั้งอยู๋ที่ จังหวัดนาลันทา รัฐพิหาร ประเทศอินเดีย แต่เราไม่รู้จักเวปุลละ ที่พระพุทธเจ้าอ้างถึง รู้แต่ว่าอยู่ทิศเหนือของภูเขาคิชฌกูฏ เราไม่รู้ขนาดสันฐานแต่ก็สามารคาดคะเนได้จากที่พระพุทธเจ้ากล่าวกับสาวกว่า
"ในสมัยพระพุทธเจ้ากกุสันธะ เขาเวปุลลบรรพตนี้ได้ชื่อว่าปาจีนวังสะ มีหมู่มนุษย์ชื่อว่าติวราอาศัยอยู่ ชาวเมืองติวราขึ้นเขาใช้เวลาขึ้นเขา ๔ วัน ลงอีก ๔ วัน
ต่อมาในสมัยพระพุทธเจ้าโกนาคมนะ เขาเวปุลละนี้มีชื่อว่าวงกต สมัยนั้นหมู่มนุษย์มีชื่อว่าโรหิตัสสะ ใช้เวลาขึ้นเขาวงกต ๓วัน ลงเขาอีก ๓ วัน
ต่อมาสมัยพระพุทธเจ้ากัสสปะ เขาเวปุลละนี้มีชื่อว่าสุปัสสะ สมัยนั้นหมู่มนุษย์ชื่อสุปนียา ใช้เวลาขึ้นเขา ๒ วัน ลงเขาอีก ๒ วัน
ต่อมาในโลกปัจจุบันของพระพุทธเจ้าโคตมะ เขาเวปุลละก็ชื่อเวปุลละ มีหมู่มนุษย์ที่ชื่อมาคธะ(ชาวมคธ) ใช้เวลาขึ้นเขาชั่วครู่เดียว ลงอีกชั่วครู่เดียว"
ผมจึงสันนิษฐานว่าเขาเวปุลละในโลกปัจจุบันอาจเป็นเพียงเนินดินหรือภูเขาเตี้ยๆเล็ก ถ้าจะหาขนาดสันฐานขนาดของเขาเวปุลละว่ากองกระดูกที่พระพุทธเจ้ากล่าวถึงมีการเวียนวายตายเกิดกี่ครั้ง ผมก็ขออนุมานการขึ้นเขาของชาวสุปนียา ในสมัยนั้นพระพุทธเจ้ากัสสปะ จะมีพระวรกายสูง ๒๐ ศอก มนุษย์ในโลกก่อนนั้นจึงมีความสูงกว่ามนุษย์โลกปัจจุบัน ๕ เท่า สมมุติมนุษย์ปัจจุบันปีนขึ้นเขาได้ระยะทางความสูงวันละ ๔ กิโล ชาวสุปนียาก็ควรขึ้นเขาได้วันละ ๒๐ กิโล ชาวสุปนียาใช้เวลาขึ้นเขาเวปุลละ ๒ วัน ดังนั้นขออนุมานว่า เขานั้นสูง ๔๐ กิโล เมื่อลดขนาดสัดส่วนให้เหลือขนาดของมนุษย์ปัจจุบันก็นำ ๕ ไปหาร ๔๐ จะได้ความสูง ๘ กิโล ผมใช้สมการหาพื้นที่สามเหลี่ยมด้านเท่า s=h2/root3 จะได้ ๓๖.๙ ผมขอปัดเป็น ๓๗ แปลงเป็นพื้นที่ตารางเมตร จะได้พื้นที่ขนาด ๓๗,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ ตารางเมตร ถ้าพื้นที่ ๑ ตารางเมตรบรรจุกระดูกได้ ๒ กอง คือเหมารวมๆไป ประมานว่าเกิดเป็นสัตว์ใหญ่บ้างเล็กบ้าง แต่ให้ใช้พื้นที่กระดูก ๒ กองเท่ากับ ๑ ตารางเมตร ดังนั้นกองกระดูกที่สูงเท่าเขาเวปุลละ จะต้องมีการตายเกิดวนเวียนอยู่ไม่น้อยกว่า ๗๔,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ เจ็ดหมื่นสี่พันล้านชาติ (นี่เป็นการคาดคะเนแบบหยาบๆคือกระดูก ๒กอง/๑ตรม)
ตรงนี้เป็นข้อสันนิษฐานของผม ท่านจะเชื่อไม่เชื่อก็เรื่องของท่าน ผมแค่ต้องการให้เห็นภาพของการเวียนว่ายตายเกิดว่ามีจำนวนมากมายขนาดไหน โดยอนุมานจากเรื่องราวในพระไตรปิฎก มาเชื่อมโยงคิดประมาณเอาเอง ต้องการให้เห็นภาพว่านอกจากโลกที่เราอาศัยอยู่ ยังมีโลกอื่นๆอยู่อีก และโลกที่เราอาศัยอยู่นี้วันหนึ่งก็ต้องแตกดับเหมือนโลกก่อนๆที่เคยมีมา เพราะฉนั้นถ้าคิดว่าตายจากโลกนี้ จะไม่มีภพชาติอื่นรออยู่ถือว่าคิดผิดครับ
แหล่งที่มา: พระไตรปิฎก