8 คดีปริศนาที่ไขได้ด้วยศพ
'คนตายพูดไม่ได้' คำนี้อาจจะเป็นจริง แต่ในอีกแง่มุมหนึ่งร่างกายของพวกเขายังคงเป็นหลักฐานชั้นดี ที่ใช้เพื่อค้นหาความยุติธรรมให้กับพวกเขาได้แม้เวลาจะผ่านไปนานหลายปี ต้องขอบคุณเทคโนโลยีและความตั้งใจของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ไม่ยอมปล่อยให้คดีเหล่านี้เงียบหายไปกับสายลม
Virginia Vincent
Virginia Vincent อายุ 57 ปี เป็นพลเมืองของเมืองแดนวิลล์, แคลิฟอร์เนีย ในปี 1985 เธอถูกข่มขืนอย่างทารุณและรัดคอจนเสียชีวิต แต่คดีก็ไม่มีความคืบหน้า จนกระทั่งในปี 2002 หลักฐานอีเอ็นเอที่เก็บได้จากร่างกายของเธอถูกนำไปใส่ไว้ในระบบดัชนีรวมดีเอ็นเอ (CODIS) ซึ่งเป็นระบบที่เก็บสะสมข้อมูลของด็เอ็นเอที่ตำรวจใช้เพื่อไล่ล่าหาฆาตกร แต่ในขณะนั้นยังไม่มีดีเอ็นเอที่ตรงกับตัวอย่างที่ได้มา
ต่อมาที่ปี 2017 ตำรวจได้ทำการส่งตัวอย่างเข้าไปตรวจสอบกับระบบนิติเวชของรัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งผลการตรวจสอบมีความเป็นไปได้ว่าอาจจะเป็นของชายที่ชื่อว่า Joey Lynn Ford ซึ่งเสียชีวิตไปในปี 1997 ซึ่งก่อนวันเกิดเหตุการฆาตกรรม Virginia นั้น Joey ถูกจับกุมในข้อหาเมาแล้วขับพอดี เจ้าหน้าที่จึงทำการขุดศพของ Joey ขึ้นมาแล้วใช้ดีเอ็นเอที่หลงเหลือจากร่างของเขามาตรวจสอบ ซึ่งตรงกับตัวอย่างที่ได้จาก Virginia คดีจึงถูกไขในที่สุด
Virginia Freeman
ในวันที่ 11 สิงหาคม 1999 ชายที่ชื่อ James Otto Erhart ถูกประหารชีวิตจากการลักพาตัวและฆาตกรรมเด็กหญิงวัย 9 ขวบที่ชื่อ Kandy Kirtland ย้อนกลับไปในวันที่ 1 ธันวาคม 1981 หญิงสาวที่ชื่อ Virginia Freeman ทำงานเป็นนายหน้าอสังหาฯในขณะนั้น ได้รับโทรศัพท์จากชายคนหนึ่งที่อ้างว่าสนใจจะซื้อบ้าน เมื่อเธอไปพบกับชายคนนั้น เขาก็ทุบตีและแทงเธอซ้ำๆ หลายครั้ง ก่อนจะรัดคอเธอจนเสียชีวิตและทิ้งศพไว้ในบ้านที่ถูกล็อคนั้น
เจ้าหน้าที่ตำรวจมาถึงและทำการสืบสวนอย่างรัดกุม มีการเก็บตัวอย่างผิวหนังจากนิ้วของเหยื่อ แต่ในขณะนั้นการตรวจสอบดีเอ็นเอไม่ใช่ทางเลือกที่นิยมใช้กัน และแม้จะเป็นนักโทษรอการประหาร James ก็ปฏิเสธที่จะให้ตัวอย่างดีเอ็นเอจนถึงวันประหารชีวิตของเขา
เมื่อไม่มีหลักฐานคดีของ Virginia ก็ยังคงปิดไม่ลง จนกระทั่งในปี 2018 ตำรวจได้ตัดสินใจที่จะนำร่างของ James ขึ้นมาโดยใช้หมายศาล เศษกระดูกของเขาถูกนำมาใช้ตรวจสอบกับตัวอย่างผิวหนังที่ได้จากนิ้วมือของ Virginia ซึ่งมีความตรงกัน ในที่สุดคดีก็ได้รับการคลี่คลายหลังจากค้างคามานานกว่าสี่ทศวรรษ
Maria Ridulph
ในวันที่ 3 ธันวาคม 1957 Maria Ridulph วัย 7 ขวบ กำลังเล่นอยู่กับเพื่อนของเธอพร้อมกับพยานแวดล้อมมากมาย มีชายคนหนึ่งเข้าหาเธอโดยการเสนอให้เธอขี่หลังเขา เธอตกลง และเขาก็พาเธอกลับมาอย่างปลอดภัยในครั้งแรก หลังจากนั้น Maria ก็หันไปเล่นกับตุ๊กตาของเธอก่อนจะกลับมาหาชายคนนั้นอีกครั้ง ซึ่งเธอหายตัวไปหลังจากนั้น
ชายที่ชื่อ Jack Daniel McCullough (หรืออีกชื่อหนึ่งคือ John Tessier) ตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีนี้ แต่ขาดหลักฐานที่เชื่อถือได้และนอกจากนี้เขายังผ่านการทดสอบเครื่องจับเท็จซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ดีที่สุดในขณะนั้น จึงทำให้เขาไม่ถูกจับกุม และคดีนี้ก็กลายเป็นคดีที่ปิดไม่ลงที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ของสหรัฐอเมริกา
ในปี 1994 แม่ของ Jack ได้ทิ้งคำสั่งเสียแปลกๆ เอาไว้ก่อนเสียชีวิต ตำรวจพบว่าเธอให้การเท็จซึ่งทำให้ลูกชายรอดพ้นจากคดี ตำรวจจึงพุ่งเป้าการสืบสวนไปที่ Jack อีกครั้ง ทำให้ในปี 2008 คดีถูกรื้อขึ้นมาใหม่ เพื่อนของ Maria ที่เล่นด้วยกันในวันนั้นถูกเรียกมาให้การอีกครั้งในวัย 62 ปี และร่างของ Maria ก็ถูกขุดขึ้นมาในปี 2011 โดยหวังว่าจะมีหลักฐานที่สามารถเชื่อถือได้ ต่อมาในปี 2012 ตำรวจก็ประสบความสำเร็จและ Jack ถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิต
แต่คดีก็พลิกอีกครั้งเพราะในปี 2017 ผู้พิพากษาได้กลับคำตัดสิน Jack ถูกตัดสินว่าบริสุทธิ์และถูกปล่อยตัว ทำให้คดีของ Maria กลับมาเป็นคดีที่ปิดไม่ลงอีกครั้ง
Judy Sawchuk
ในปี 1985 มีหญิงสาวถูกทุบตีจนเสียชีวิตในอพาร์ทเม้นท์ ตำรวจพบมีดในมือของเธอ และคาดเดาว่ามันอาจเป็นสิ่งที่เธอคว้ามาป้องกันตัวในขณะที่ตื่นตระหนกเมื่อเผชิญหน้ากับคนร้าย ตำรวจตามรอยเลือดมาจนพบกับร่างของ Judy Sawchuk ซึ่งเสียชีวิตจากอาวุธไม่มีคม ต่อมาในปี 1986 มีชายที่ชื่อ Gerald Dennis Hillman เสียชีวิตจากการเสพยาเกินขนาด ซึ่งในขณะนั้นตำรวจไม่ได้เชื่อมโยง 2 คดีนี้เข้าด้วยกันแต่อย่างใด
เหมือนกับคดีอื่นๆ คดีของ Judy เป็นคดีที่ปิดไม่ลงจนกระทั่งปี 2003 มีความเปลี่ยนแปลงอันน่าเซอร์ไพรส์เกิดขึ้น ชายคนหนึ่งได้ให้การกับตำรวจว่า Gerald สารภาพกับเขาว่าได้ทำการฆาตกรรม Judy ต่อมาในปี 2006 ตำรวจได้ตัดสินใจที่จะขุดร่างของเธอขึ้นมาและได้หลักฐานที่เชื่อมโยงกันว่า Gerald เป็นฆาตกรที่ฆ่า Judy
Hank Johnson
ในวันที่ 10 กรกฎาคม 2008 Hank Johnson เด็กหนุ่มวัย 27 ปีถูกฆาตกรรมอย่างโหดเหี้ยม แฟนของเขาพบเขาหมดสติและถูกทุบตีในห้อง 125 ของโรงแรมแห่งหนึ่ง เขาเสียชีวิตหลังจากนั้น 11 วัน แม้ Hank ไม่ใช่คนที่ชอบสร้างเป็นหา แต่เขาก็อาศัยอยู่ในพื้นที่สุ่มเสี่ยงที่เต็มไปด้วยอาชญากรรม, ยาเสพติด และการค้าประเวณี
ตำรวจสอบสวนคนมากมายในย่านนั้นแต่คดีก็ไม่มีความคืบหน้า จนกระทั่งในปี 2010 ร่างของเขาถูกขุดขึ้นมาและทำการทดสอบดีเอ็นเอเพื่อหาทางไขคดีและก็ทำได้ในที่สุด ในปี 2013 Trae Deandre Thompson ถูกจับข้อหาฆาตกรรม Hank เขาให้การขอไม่สู้คดีในข้อหาฆ่าคนตายประมาท ในปี 2014 Trae ถูกตัดสินให้จำคุก 15 เดือน และครอบครัวของ Hank ก็ได้รับเงินเยียวยากว่า 8.6 ล้านเหรียญฯ
Anjelica ‘Baby Hope’ Castillo
Anjelica Castillo มีอายุเพียง 4 ขวบเท่านั้นตอนที่หายไปในปี 1991 แต่เนื่องจากครอบครัวของเธอลักลอบเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมาย การหายไปของเธอจึงไม่มีการแจ้งต่อเจ้าหน้าที่แต่อย่างใด ในเวลาเดียวกันนั้น ร่างของเด็กหญิงนิรนามซึ่งผู้คนขนานนามว่า “Baby Hope” ถูกพบในกล่องเก็บความเย็นที่แมนฮัตตัน ทำให้ในปี 1993 มีคนนับร้อยมาร่วมงานศพของเหยื่อนิรนามรายนี้
กว่าทศวรรษผ่านไปนักสืบก็ยังไม่ยอมแพ้กับคดีนี้ จนท้ายที่สุดในปี 2007 เจ้าหน้าที่ก็ขุดร่างของเธอขึ้นมาเพื่อตรวจสอบดีเอ็นเอ ต่อมาในปี 2011 ร่างก็ถูกขุดขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้ตำรวจก็ได้เบาะแสซึ่งนำไปสู่พี่สาวของ Anjelica ตำรวจจึงใช้ดีเอ็นเอของแม่ของเธอมาตรวจสอบร่วมกัน ในที่สุดตำรวจก็พบว่าร่างในกล่องเก็บความเย็นนั้นคือ Anjelica นั่นเอง
ตำรวจทำการขยายผลการสืบสวนจนในปี 2013 ชายที่ชื่อ Coronado Juarez ซึ่งเป็นญาติกับพ่อของ Anjelica ก็ถูกจับในข้อหาฆาตกรรม Anjelica
Nicky Verstappen
ในปี 1998 เด็กชายที่ชื่อ Nicky Verstappen วัย 11 ปีหายไปจากแคมป์ในตอนเช้า มีการค้นหาเกิดขึ้นและพบร่างของเขาในวันต่อมา แม้ตำรวจจะสอบสวนชายที่ชื่อ Jos Brech หลายครั้ง แต่ก็ไม่ได้มองว่าเขาเป็นผู้ต้องสงสัยและทำให้เขาไม่ได้ถูกตรวจสอบดีเอ็นเอแต่อย่างใด
ตำรวจกลับพุ่งเป้าไปยัง Joos Barten ที่ปรึกษาและเจ้าของค่ายที่มีประวัติกระทำความผิดทางเพศต่อเด็กแทน Joos เสียชีวิตลงในปี 2003 และตำรวจก็ทำการขุดศพของเขาขึ้นมาในปี 2010 เพื่อตรวจสอบกับดีเอ็นเอที่พบบนร่างของ Nicky แต่ก็ไม่ตรงกัน ทำให้ Joos ถูกลบออกจากผู้ต้องสงสัยในที่สุด
ต่อมาในปี 2018 มีอาสาสมัครกว่า 15,000 คนมอบตัวอย่างดีเอ็นเอให้กับตำรวจเพื่อช่วยเหลือในการสืบสวน ตำรวจพบว่าหนึ่งสมาชิกของครอบครัวของ Jos มีดีเอ็นเอที่ตรงกันกับที่ได้จากร่างของเหยื่อ ทำให้เขาถูกจับกุมในที่สุด
Noreen Rudd
ในปี 1973 Donnie Rudd ฆาตกรรมภรรยา Noreen Rudd ด้วยการทุบตีเธอจนเสียชีวิต แล้วจัดฉากให้เหมือนกับว่าเป็นอุบัติเหตุทางรถยนต์และเจ้าหน้าที่ตำรวจก็หลงเชื่อคำกล่าวอ้างนั้นมานานกว่า 45 ปี ที่จริงแล้ว Donnie อยู่กินกับผู้หญิงคนอื่นและลูก 4 คนของเธอมาก่อนที่จะแต่งงานกับ Noreen และทั้งคู่ก็แต่งงานกันได้เพียง 27 วันเท่านั้น ก่อนที่เขาจะฆาตกรรมเธอ
หลายทศวรรษผ่านไปตำรวจนำคดี Donnie Rudd เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมอีกครั้ง หลักฐานต่างๆ ชัดเจนขึ้นเมื่อพวกเขาขุดร่างของ Noreen ขึ้นมา นักพยาธิวิทยาพบว่าเธอเสียชีวิตจากการถูกทุบตีด้วยวัตถุไม่ใช่อุบัติเหตุทางรถยนต์ และแม้จะถูกฝังมานานแต่รอยแผลที่อยู่บนร่างของเธอก็ไม่ตรงกับแรงกระแทกของรถยนต์แต่อย่างใด Donnie ถูกตัดสินว่ามีความผิดในปี 2018 เนื่องจากฆ่าภรรยาเพื่อเอาเงินประกัน
Moodymuay