โพลาร์ วอร์เท็กซ์ คืออะไร
หลายคนเพิ่งเคยได้ยินคำว่า โพลาร์ วอร์เท็กซ์ (Polar Vortex) ในปี 2019 นี้ หลายคนดูเหมือนจะคุ้นกับคำนี้มาแล้วเมื่อ 5 ปีก่อนคือในปี 2014 กับปรากฏการณ์คลื่นความเย็นสุดขั้วเข้าปกคลุมสหรัฐอเมริกาและแคนาดา ทำเอาหลายพื้นที่มีความเย็นในระดับไม่ต่างจากขั้วโลก ดูแล้วเหมือนบางฉากในภาพยนตร์ The day after tomorrow ไม่มีผิด เพียงแต่มันเป็นเรื่องจริง
แล้ว “โพลาร์ วอร์เท็กซ์ ” คืออะไร
สื่อต่างประเทศหลายรายใช้คำว่า “โพลาร์ วอร์เท็กซ์” ไปเรียกแทนปรากฏการณ์ที่ความหนาวเย็นในระดับไม่เคยพบเห็นมาก่อนเข้าไปก่อปัญหากับผู้คนละในสถานีที่ต่างๆ ถึงขั้นเป็นภัยพิบัติ แท้จริงแล้วคำว่า “โพลาร์ วอร์เท็กซ์” ไม่ได้เป็นคำที่ดูอันตรายแบบเดียวกับคำว่าแผ่นดินไหวหรือสึนามิ แต่เป็นคำกลางๆทางอุตุนิยมวิทยาที่ใช้กันมานานแล้ว เพื่อใช้เรียกกระแสลมความเร็วสูงที่หมุนวนอยู่รอบขั้วโลกทั้ง 2 ขั้วคือมีทั้งขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้ เป็นกระแสลมที่มีประโยชน์เพราะมันช่วยป้องกันไม่ให้มวลอากาศเย็นจัดที่ขั้วโลกแผ่ลงมาด้านล่าง [ที่มา: Duke].
พูดง่ายๆ “โพลาร์ วอร์เท็กซ์” คือกรงขังมวลอากาศเย็นขั้วโลก ทำหน้าที่ไม่ต่างจากประตูช่องฟรีซ
“โพลาร์ วอร์เท็กซ์” เกิดมาจากความแตกต่างของอุณหภูมิที่ขั้วโลกที่บางครั้งลงต่ำถึง -79
°C [ที่มา NASA] ซึ่งเย็นกว่าพื้นที่ในบริเวณละติจูดที่ต่ำลงมามาก ความแตกต่างก่อให้เกิดแรงกดอากาศที่ไม่เท่ากัน เป็นที่มาของการไหลของกระแสอากาศนั่นคือกลายเป็น “ลมกรด” ที่มีความเร็ว 193 ถึง 402 กม./ชม.พัดวนไปรอบๆขั้วโลก ขังมวลอากาศเย็นจัดไว้ภายใน เป็นหย่อมความกดอากาศต่ำแกนเย็นขนาดยักษ์ [ที่มา Rafferty, Rutgers Today] โดย “โพลาร์ วอร์เท็กซ์” ของซีกโลกใต้จะมีความเร็วลมสูงกว่าฝั่งซีกโลกเหนือ เพราะอุณหภูมิขั้วโลกที่ต่ำกว่านั่นเอง [ที่มา : NASA]
มองจากด้านบน “โพลาร์ วอร์เท็กซ์” เหมือนพายุไซโคลนขนาดใหญ่ที่มีไส้กลางเป็นมวลอากาศเย็น มองจากด้านข้าง เหมือนแถบริบบิ้นยักษ์ที่มีขอบล่างริ่มจากจุดจูงสุดของโทรโพสเฟียร์ ซึ่งเป็นชั้นบรรยากาศโลกชั้นล่างสุดที่เราอาศัยอยู่ในนั้น เครื่องบินที่เรานั่งก็บินได้ไม่เกินขอบบนสุดของโทรโพสเฟียร์นี้ “โพลาร์ วอร์เท็กซ์” มีส่วนกลางที่สูงขึ้นไปอีกคืออยู่ในชั้นบรรยากาศสตราโทสเฟียร์ และขอบบนของมันจะไปจบที่บรรยากาศชั้นมีโซสเฟียร์ นั่นคือแถบริบบิ้นยักษ์นี้มีความกว้างถึง 50 กิโลเมตร[ที่มา: NASA]
ในสภาพปกติ ความเร็วลมของ “โพลาร์ วอร์เท็กซ์” นี้ จะลดลงในฤดูร้อน เนื่องจากความแตกต่างของอุณหภูมิที่น้อยลง และจะกลับทวีความเร็วขึ้นในฤดูหนาว [ที่มา: Rafferty]
และจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อ “โพลาร์ วอร์เท็กซ์” มีสภาพไม่ปกติ
ความไม่ปกติของ “โพลาร์ วอร์เท็กซ์” ต้องมองจากด้านบน ในวันที่ความเร็วลมของมันยังเร็วจัด รูปร่างของมันจะค่อนข้างกลม ล้อมขั้วโลกไว้เป็นอย่างดี โดยมีศูนย์กลางหย่อมความกดอากาศต่ำอยู่ที่ขั้วโลกพอดี แต่ในบางวัน หากความเร็วตกลงเล็กน้อย ขอบจะหยักเข้าหยักออก ขอบที่หยักออกเรียกว่า “trough” ซึ่งมวลอากาศเย็นด้านในก็จะแผ่ลงมาในพื้นที่ละติจูดต่ำ ขอบที่หยักเข้าเรียกว่า “ridge” เป็นบริเวณที่อากาศอุ่นจากละติจูดต่ำจะยื่นเข้าไปใกล้ขั้วโลก ศูนย์กลางการหมุนจะส่ายไปมา
และในบางเวลา ก็เป็นคราวที่ความเร็วลมของ “โพลาร์ วอร์เท็กซ์” ลดลงมาต่ำจนผิดปกติ รูปร่างของมันจะไม่กลมเอามากๆ ย้วยไปย้วยมาเหมือนดอกไม้ ศูนย์กลางการหมุนหรือศูนย์กลางหย่อมความกดอากาศต่ำจะย้ายออกจากขั้วโลก บางครั้งแตกออกเป็น 2 ศูนย์ “trough” ที่ยื่นยาวลงมา ก็คือภัยพิบัติที่เราเผชิญ หากมันปกคลุมพื้นที่ใด ตรงนั้นก็กลายเป็นสภาพหนาวเย็๋นยิ่งยวดทันที
นั่นคือสภาพที่สหรัฐอเมริกาและแคนาดา เผชิญอยู่ในเวลานี้ และเคยพบมารอบก่อนในปี 2014
ส่วนที่มาของสาเหตุที่ทำให้ “โพลาร์ วอร์เท็กซ์” ผิดปกตินั้น ยังเป็นที่ถกเถียงกัน ผลการศึกษาส่วนใหญ่ชี้ไปที่จำเลยคนเดิม “ภาวะโลกร้อน”
ที่มา https://science.howstuffworks.com/nature/climate-weather/atmospheric/polar-vortex.htm
เรียบเรียงโดย @MrVop