จางจื้อซิน ชีวิตถึงตายเพราะท้าทายเหมา
จางจื้อซิน ชีวิตถึงตายเพราะท้าทายเหมา โดย คุณสมชาย จิว gypzyworld.com
ในทศวรรษแห่งลัทธิคลั่งเหมา ยุคปฏิวัติวัฒนธรรม ไม่ได้มีแต่ผู้ที่ไม่บูชาเหมาเท่านั้นที่ถูกกำจัด แม้แต่คนที่รักและเทิดทูนเหมาก็อาจพบจุดจบอันเลวร้ายได้ เช่นเดียวกับเธอผู้นี้ จางจื้อซิน
จางจื้อซิน 张志新 (1930 - 1975)เป็นชาวเทียนจินโดยกำเนิด จางจื้อซินโตมาในครอบครัวนักดนตรีที่มีการศึกษา เธอเติบโตมาพร้อมความงามและฝีมือในการเล่นดนตรี โดยเฉพาะไวโอลิน จางจื้อซินแต่งงานในปี 1955 มีลูกสองคน ต่อมาในปี 1957 เธอกับสามีย้ายไปประจำการที่เมืองเสิ่นหยาง มณฑลเหลียวหนิง โดยจางจื้อซินได้เข้าทำงานในแผนกศิลปะและวรรณคดี กองอำนวยการโฆษณาประชาสัมพันธ์ประจำ เหลียวหนิง และที่นี่เอง ที่จางจื้อซินต้องพบกับชะตากรรมอันไม่คาดฝัน
เมื่อเริ่มปฏิวัติวัฒนธรรมใหม่ๆ ในปี 1966 จางจื้อซินสนับสนุนการปฏิวัติครั้งนี้ ทั้งตัวและหัวใจ แต่เมื่อเหตุการณ์เริ่มบานปลาย ยุวชนเรดการ์ดบ้าคลั่งไร้เหตุผล เชิดชูเหมาทำลายผู้คน คนอย่างจางจื้อซินเริ่มตั้งคำถาม เมื่อเธอเห็นชะตากรรมของผู้นำพรรคที่เคยสร้างชาติมาก่อนอย่างหลิวเส้าฉี และนายพลเผิงเต๋อหวย เมื่อเธอเห็นความบอดใบ้ของพวกเรดการ์ด เห็นการฉกฉวยโอกาสขึ้นมามีอำนาจของเจียงชิงและหลินเปียว จางจื้อซินเริ่มตาสว่าง เธอมองเห็นว่า พรรคและประเทศกำลังเดินไปบนเส้นทางที่ผิดพลาด เหมาเจ๋อตงแม้จะเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่ แต่ก็ไม่ใช่พระเจ้าที่ใครจะล่วงละเมิดมิได้
ปี 1969 วันหนึ่งจางจื้อซินทำผิดอย่างมหันต์ เธอแอบวิจารณ์เจียงชิงให้เพื่อนบ้านฟัง โดยไม่รู้เลยว่าเพื่อนบ้านของเธอจะนำเรื่องนี้ไปฟ้องเจ้าหน้าที่ จางจื้อซินถูกนำไป “ปรับทัศนคติ” โดยการใช้แรงงานในไร่พร้อมๆ ไปกับการศึกษาลัทธิเหมาอิสต์ แต่เธอก็ยังคงยืนยันในความเชื่อของตัวเอง จางจื้อซินไม่เคยหยุดตั้งคำถามในลัทธิคลั่งเหมา จางจื้อซินถึงขั้นวิจารณ์เหมาเจ๋อตงว่าตัดสินใจผิดพลาด วิจารณ์หลินเปียวว่าเป็นพวกซ้ายจัด วิจารณ์เจียงชิงว่ากำลังบ่อนทำลายศิลปะของจีน ฯลฯ เสียงของจางจื้อซิน บาดหูบาดใจของผู้มีอำนาจสมัยนั้น
ปี 1970 เธอถูกจับแล้วพิพากษาประหารชีวิต แต่ลดโทษเหลือจำคุกตลอดชีวิต รัฐตราหน้าจางจื้อซินว่าเป็นพวกปฏิปักษ์ต่อการปฏิวัติ แม้จะถูกกล่าวหาอย่างไร แต่ตัวเธอกลับรู้สึกว่า เธอเป็น มาร์กซิสต์ที่แท้จริงต่างหาก เธอคือผู้ที่อุทิศกายใจให้พรรคอย่างไม่แปรเปลี่ยน
ในเรือนจำ เธอยังคงอ่านและเขียน จางจื้อซินเขียนสิ่งที่อ่าน เขียนความรู้สึก บันทึกประจำวัน สารพันที่นึกได้ลงบนกระดาษชำระแผ่นแล้วแผ่นเล่า จนที่สุดเจ้าหน้าที่เรือนจำยึดปากกาไปจากเธอ
โทษของการเป็นปฏิปักษ์ต่อการปฏิวัติ ในยุคปฏิวัติวัฒนธรรม เป็นความผิดที่สุดแสนจะร้ายแรง ผู้ต้องหาคดีนี้ถูกปฏิบัติไม่ต่างจากสัตว์ที่ไร้ค่า จางจื้อซินจึงถูกทรมานต่างๆ นานา ถูกขังเดี่ยว ถูกตีตรวนล่ามโซ่ จนถึงขั้นถูกเจ้าหน้าที่เรือนจำข่มขืน เธอกลายเป็นเครื่องบำบัดความใคร่ของพวกที่เสมือนไม่ใช่มนุษย์ ที่สุด จางจื้อซินเคยถึงขั้นใช้อุจจาระทาตามเนื้อตัวเพื่อให้ไม่มีใครกล้ามาข่มขืนเธอ หลายคนมองว่าเธอเสียสติไปแล้ว
หลังจากหลินเปียวล้มเหลวในการปฏิวัติรัฐประหารเหมาเจ๋อตง แล้วไปเสียชีวิตเพราะเครื่องบินตกระหว่างพยายามหลบหนีไปรัสเซียในปี 1971
ต่อมาในปี 1973 เหมาเจ๋อตงได้วิพากษ์ว่าทั้ง กว๋อหมินตั่งและหลินเปียวเป็นพวกมีปัญหาเพราะฝักใฝ่ในลัทธิขงจื่อ ทำให้เกิดกระแส “วิพากษ์หลินเปียวและขงจื่อ” ไปทั่วประเทศ ในเรือนจำที่จางจื้อซินถูกคุมขังอยู่ก็ได้จัดให้มีการวิพากษ์หลินเปียวและขงจื่อขึ้นเช่นเดียวกัน และในงานนี้เองที่จางจื้อซินลุกขึ้นพูดในสิ่งที่เธอเชื่ออีกครั้ง จางจื้อซินกล่าวว่าในกรณีหลินเปียวนั้น สาเหตุที่แท้จริงอยู่ที่ เหมาเจ๋อตง ประธานเหมาเป็นต้นตอของความผิดพลาดทั้งหมด เธอกล่าวโทษแก๊งสี่คนว่าเป็นต้นตอของความหายนะ ทั้งของประธานเหมาและของประเทศชาติที่เธอเทิดทูน
จางจื้อซินถูกจับกุมอีกครั้งด้วยคดีใหม่ ที่สุดแล้วในปี 1975 ผู้มีอำนาจก็ตัดสินใจว่า เก็บจางจื้อซินไว้ก็ไร้ประโยชน์ การกำจัดเธอให้พ้นๆ ไป เป็นวิธีที่ดีที่สุด มีคำสั่งจากเบื้องบนลงมาว่า
“ยิ่งนานวัน เธอ (จางจื้อซิน) ยิ่งเป็นปฏิปักษ์ต่อการปฏิวัติหนักข้อขึ้น ฆ่าเธอเสียให้สิ้นเรื่องสิ้นราวไปเสียจะดีกว่า”
ว่ากันว่า แม้ก่อนตายเธอก็ยังยึดมั่นในแนวทางพรรคคอมมิวนิสต์และยังคงยกย่องประธานเหมา (แม้จะวิพากษ์เขาอย่างไรก็ตาม) ในคำลงท้ายจดหมายฉบับสุดท้ายที่จางจื้อซินเขียนส่งให้ทางบ้านยังคงทิ้งท้ายว่า
中国共产党万岁!
伟大的祖国万岁!
毛主席万岁!
พรรคคอมมิวนิสต์แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนจงเจริญ!
มาตุภูมิอันไพศาลจงเจริญ!
ประธานเหมาจงเจริญ!
ก่อนวันประหาร แพทย์ในเรือนจำต้องกรีดหลอดลมของจางจื้อซิน เพื่อหยุดไม่ให้จางจื้อซินกู่ร้องเรียกพรรคคอมมิวนิสต์ หยุดเธอไม่ให้กล่าวโทษการปฏิวัติวัฒนธรรม อนิจจา แม้จะใกล้ตายเธอก็ยังถูกไม่ให้พูด!!!
เช้าตรู่วันที่ 4 เดือนเมษายน ค.ศ. 1975 จางจื้อซินในชุดสีแดงเข้มถูกนำเข้ามาในลานประหาร แล้วกระสุนปืนก็คร่าวิญญาณจางจื้อซินให้ออกจากร่าง สิริรวมอายุ 44 ปี
ปีรุ่งขึ้น ค.ศ. 1976 เหมาเจ๋อตงตาย สิ้นสุดการปฏิวัติวัฒนธรรม แก๊งสี่คนโดยการนำของเจียงชิงถูกจับกุมยึดอำนาจ
ปี 1979 ที่สุดแล้ว จางจื้อซินก็ได้คืนเกียรติ เธอถูกยกย่องโดยรัฐให้เป็นคนต้นแบบของคอมมิวนิสต์และผู้เสียสละพลีชีพเพื่อการปฏิวัติ เป็นผู้ที่กล้าลุกขึ้นมาท้าทายต่ออำนาจฉ้อฉลของแก๊งสี่คน (นี่น่าจะเป็นนโยบายหนึ่งในการผลักให้ความผิดทั้งหมดของการปฏิวัติวัฒนธรรมให้ไปตกอยู่กับแก๊งสี่คน)
ปาจิน 巴金 นักเขียนนามอุโฆษเคยเปรียบยุคปฏิวัติวัฒนธรรมว่าเป็นเสมือน โฮโลคอสต์ทางจิตวิญญาณ 精神大屠杀 และจางจื้อซินก็เป็นเหยื่ออีกหนึ่งที่สังเวยให้กับความโหดเหี้ยมแห่งยุคสมัยครั้งนี้.