6 บ้านอันตราย เต็มไปด้วยกับดัก
บ้านสมควรจะเป็นสถานที่ปลอดภัยสำหรับเจ้าของบ้าน ที่ชวยปกป้องอันตรายอะไรบางอย่างจากข้างนอก แต่น่าขันที่ 6 อันดับต่อไปนี้ บ้านได้กลายเป็นสถานที่อันตราย และน่ากลัวไปเสียได้
6. บ้านขยะของแลงลีย์ โคลเลอร์ (Langley Collyer's Trash Mansion)
ในช่วงต้นทศวรรษที่ 1900 มีสองพี่น้องชื่อ โฮเมอร์ และแลงลีย์ โคลเลอร์ เป็นที่รู้จักในชื่อพี่น้องโคลล์เยอร์ อดีตเป็นบุตรของแพทย์ที่ร่ำรวยและชื่อเสียงในแมนฮัตตัน หลังจากพ่อแม่เสียชีวิต โอเมอร์ก็เกิดตาบอด และแลงลีย์ผู้เป็นน้องชายได้ทุ่มเทเวลาให้กับการดูแลพี่ชายของตนเอง โดยไม่พาเขาออกไปไหนเลย แม้แต่ไปหาหมอ
ต่อมาพี่น้องทั้งสองถูกธนาคารมาไล่ที่ หากแต่แลงลีย์ได้พยายามโต้ตอบด้วยการเอาขยะกองใหญ่มาทับถมในแมนชั่น ชนิดที่ว่าข้างในแมนชั่นที่พี่น้องอาศัยอยู่เต็มไปด้วยขยะมหาศาล ทุกทางเข้าบ้านถูกบล็อกด้วยกองขยะถึง 140 ตัน มีทั้งหนังสือ เปียโน เรือแคนู และรถยนต์ที่ใช้ไม่ได้ รวมไปถึงหลุมพรางป้องกันผู้บุกรุก
อย่างไรก็ตาม วันที่ 21 มีนาคม 1947 มีการพบศพสองพี่น้องอยู่ในบ้าน ซึ่งกว่าจะไปถึงจุดที่พบศพยากลำบากมากเพราะเต็มไปด้วยภูเขาขยะ ก็พบแลงลีย์โดนกำแพงหนังสือพิมพ์ที่กองไว้เป็นเวลานานปีทับตาย ส่วนโฮเมอร์นั้นเสียชีวิตเพราะหัวใจวายเพราะขาดอาหารเสียชีวิตไม่เกินสิบชั่วโมง
5. วิลเลียม ฟิลด์ฮอฟ์ (William Feldhoff)
เมื่อวันที่ 18 กันยายน 1978 ไมเคิล เทรย์เนอร์ อายุ 26 ปีได้หายตัวไป จากเมือง บาร์เร รัฐออนแทริโอ แคนาดา ไม่กี่สัปดาห์ต่อมาก็มีการพบร่างของเขาในคูน้ำตอนเหนือของเมือง ร่องรอยของศพมีพันธนาการ และเสียชีวิตจากการบาดเจ็บ ซึ่งตำรวจไม่สามารถหาตัวทำผิดได้นานกว่า 34 ปี
จนกระทั่งในเดือนกรกฎาคม 2012 มีชายคนหนึ่งโดนัลด์ ฟิลด์ฮอฟฟ์ ได้สารภาพว่าได้ฆาตกรรมชายคนนั้น นอกจากนี้เขายังบอกว่าพ่อของเขาก็ช่วยเขาทิ้งศพได้
เมื่อตำรวจจับนายวิลเลียม ฟิลด์ฮอฟ์ที่เป็นพ่อของนายโดนัด์ ตำรวจก็ทำการค้นบ้านก็พบว่าบ้านหลังนี้ถูกดัดแปลงเพื่อรับมือกับสงครามโลก ที่วิลเลียมเชื่อว่ามันจะเกิดขึ้น เขามีบังเกอร์ซีเมนต์ในสนามหลังบ้าน และห้องปฏิบัติการสารเคมีที่อยู่ในห้องใต้ดิน นอกจากนี้เขายังมีวัตถุระเบิดที่จะมีแผงควบคุมที่อาจระเบิดเมื่อใดก็ได้ ทำให้ตำรวจต้องเร่งอพยพเพื่อนบ้านกว่า 22 ครัวเรือนที่อยู่พื้นที่ใกล้เคียงออกไป
และมันก็ต้องใช้เวลากว่า 12 วัน กว่าที่เจ้าหน้าที่จะสามารถแก้ไขสถานการณ์ ทั้งปลดกับดัก หลุมพราง และยึดทรัพย์สินที่เต็มไปด้วยอาวุธปืน กระสุนอีกหมื่น และวัตถุระเบิด ส่วนนายวิลเลียมถูกตั้งข้อหาครอบครัวอาวุธปืนเถื่อนและถูกจำคุก 20 เดือน ส่วนนายโดนัลด์ถูกตัดสินคำคุกในข้อหาฆาตกรรมไมเคิล เทรย์เนอร์
4. หลังคาไฟฟ้าของจูเมอร์ เซลีมอวัก (Jumer Selimovski’s Electrified Roof)
ในปี ค.ศ. 2004 ชายชาวออสเตรเลียคนหนึ่งชื่อ จูเมอร์ เซลีมอวัก อาศัยอยู่ในเอบปิ้งได้ก่อความรุนแรงโดยการทำร้ายชายคนหนึ่ง ต่อมาเขาก็ถูกทำร้ายด้วยมีด เป็นเหตุทำให้เขาและครอบครัวต้องย้ายบ้าน หากแต่ปีต่อมาเขาก็ยังเชื่อว่าครอบครัวของเขาถูกคุกคาม มีใครบางคนปีนหลังคาบ้านของเขา และนั่นเองทำให้เขาต้องปกป้องตนเองและภรรยา และลูกห้าคนของเขา
เขาจึงดัดแปลงบ้านทั้งหลังเป็นกับดัก ด้วยการปล่อยกระแสไฟฟ้า 254 โวลต์ ไปบนหลังคา และท่อระบายน้ำ และความแรงของไฟฟ้าอาจทำให้คนที่โดนเข้าไปอาจได้รับบาดเจ็บสาหัสหรือไม่ก็เสียชีวิตได้
อย่างไรก็ตาม โชคดีที่ไม่มีใครเสียชีวิตจากกับดักขอจูเมอร์ ในเดือนมิถุนายน 2007 ตำรวจได้สังเกตนกตัวหนึ่งที่ไปเกาะหลังคาบ้านเกิดช็อกตาย และนั่นทำให้เขาถูกจับ ต่อมาเขาก็วางแผนที่จะย้ายบ้านพร้อมกับจะติดกับดักที่บ้านอีก แต่แผนดังกล่าวก็ล้มก่อน เพราะในเดือนสิงหาคม 2014 เขาก็ถูกจับหลังจากไปยิงชายคนหนึ่งตาย
3. เอ็ด และเอเลน บราวน์ (Ed and Elaine Brown)
ในปี 1996 เอ็ด และเอเลน บราวน์ คู่สามี-ภรรยา ถูกแจ้งข้อหาหลีกเลี้ยงภาษามากกว่า 625,000 ดอลลาร์ และเจ้าหน้าที่มีคำสั่งให้ยึดทรัพย์สินของพวกเขา หากแต่พวกบราวน์มีแผนเหนือกว่านั้น นั่นคือพวกเขาขังตนเองในบ้าน แถมชลบทคองคอร์ด, รัฐนิวแฮมป์เชียร์ พร้อมกับทำให้บ้านเป็นป้อมปราการที่พื้นที่ 100 เอเคอร์รอบๆ บ้าน เต็มไปด้วยที่เต็มไปด้วยวัตถุอันตราย หลุมพราง ระเบิด กับดักร้ายแรง โดยบอกว่าพวกเขายอมตายดีกว่าที่จะติดคุก
ความขัดแย้งกินเวลานานกว่าหลายปี ในที่สุดมันก็สิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2007 เจ้าหน้าที่ได้ปลอมตัวเป็นผู้สนับสนุน ทำให้พวกบราวน์เชิญให้เข้ามาในบ้านจากนั้นเจ้าหน้าที่ก็จับทั้งสองได้โดยไม่มีเหตุการณ์ร้ายแรงเกิดขึ้น
ในที่สุด พวกบราวน์ ถูกตัดสินลงโทษจำคุกเป็นเวลา 30 ปีในข้อหาพยายามฆ่าเจ้าหน้าที่ด้วยกับดัก ส่วนบ้านของพวกบราวน์ก็ถูกนำไปประมูล โดยคนขายรับประกันว่าสารประกอบถูกพบและจัดเก็บเรียบร้อยแล้ว
ตอนแรกๆ ไม่มีใครจะซื้อมัน จนในที่สุดมันก็ถูกขายในราคา 205,000 ดอลลาร์
2. บ้านแห่งความตายของหลุยส์เดธตี้ (Louis Dethy's Death House)
ในเดือนพฤศจิกายน 2002 ตำรวจใน Pont-de-Loup เบลเยียมได้ไปบ้านหลังหนึ่ง และได้พบเจ้าของบ้านนาม หลุยส์เดธตี้เป็นวิศวกรเกษียณตายจากถูกปืนยิงที่คอ และเมื่อสำรวจไปรอบๆ บ้านพวกเขาก็พบปืนลูกซอง ทำให้ตอแรกตำรวจเชื่อว่าเขา ฆ่าตัวตาย เพราะปัญหาจากภรรยากำลังจะไล่เขาจากบ้าน
อย่างไรก็ตาม หลังจากตำรวจสืบลึกกว่านั้น เขาก็พบว่านายหลุยส์ไม่ได้ตั้งใจจะฆ่าตัวตาย แต่ตายเพราะความประมาณตอนติดตั้งกับดัก เรื่องของเรื่องคือหลุยส์เกิดความไม่พอใจภรรยาและลูกหลาน แถมเขากำลังถูกไล่ออกจากบ้าน เขาเลยเปลี่ยนบ้านให้เป็นกับดักขนาดใหญ่ โดยตำรวจพบว่าจุดต่างๆ ถึง 19 จุด ของบ้านเต็มไปด้วยกับดัก
ไม่ว่าจะเป็น ผนังเพดาน เรื่องใช้ครัวเรือน จานอาหาร โทรทัศน์ ลังเบียร์ที่ในนั้นมีกับดักปืนลูกซองมันจะทำงานหากมีการหยิบขวดเบียร์ออกจากลัง โดยหวังว่าพวกมันจะฆ่าครอบครัวของเขา หากย้ายมาอยู่บ้านหลังนี้ แต่ด้วยความประมาททำให้กับดักมาโดนเขาเสียก่อน
1. เอช เอช โฮล์ม “ปราสาทฆาตกรรม” ( HH Holmes' “Murder Castle”)
หนึ่งในบ้านที่น่าสะพรึงกลัวมากที่สุดของฆาตกรต่อเนื่องนาม เอช เอช โฮล์ม ได้ถูกขนานนามว่า “ปราสาทฆาตกรรม” มันเริ่มต้นขึ้นเมื่อปี 1886 หมอโฮล์มได้ย้ายไปอยู่ชิคาโกเพื่อทำธุรกิจขายยา หลังจากที่เขาโกงผู้รับเหมา เขาก็สร้างบ้านที่ราวกับปราสาทหัวมุมถนนบล๊อกที่ 63 ปราสาทที่ว่ามีห้องพัก 100 ห้อง ไม่มีหน้าต่าง และเขาก็เปิดเป็นโรงแรม
อย่างไรก็ตาม น้อยคนนักที่จะรู้ว่าปราสาทของหมอโฮล์มนั้นมีเบื้องหลัง ภายในปราสาทไม่แตกต่างอะไรไปจากเขาวงกต ที่ถูกออกแบบซับซ้อน ห้องพักทุกห้องมีทางลับอันวกวนเชื่อมอยู่ แต่ละห้องมีรูแอบมอง ผนังกลไกที่เลื่อนปิดเปิดได้ ท่อแก๊สซึ่งจะปล่อยแก๊สเข้าห้องพักแขกเพียงยื่นนิ้วไปกดปุ่ม หากเหยื่อสลบหรือตาย โฮล์มก็สามารถเคลื่อนย้ายศพมาโดยง่าย เพราะเขามีลิฟท์สำหรับขนศพลงไปยังห้องใต้ดิน ที่ไม่มีหน้าต่างซึ่งภายในเต็มไปด้วยเครื่องมือทรมานและชุดเครื่องมือผ่าตัดอย่างครบถ้วน ทำให้ห้องที่ว่าเต็มไปด้วยโครงกระดูก โดยโฮล์มนำไปขายที่โรงเรียนแพทย์ ส่วนที่เหลือนำไปเผาไม่ก็ใช้ถุงกรดทำลาย
โฮล์มได้ใช้ปราสาทฆาตกรรมของเขาในฐานะโรงแรมในช่วงในปี 1893 ซึ่งเป็นช่วงที่ชิคาโก้มีการจัดงานมหกรรมโลก (The Chicaco's World Fair มีแขกมาพักที่โรงแรมของโฮมส์อย่างไม่ขาดสาย และแขกที่ส่วนมากเป็นผู้หญิงไม่เคยออกจากปราสาทหลังนี้เลย ไม่มีใครรู้ตัวเลขที่แน่นอนของหญิงสาวที่หายไปในโรมแรมของโฮมส์ เขารับสารภาพในการฆาตกรรม 27 ราย แต่เมื่อมองจากหลักฐานที่พบแล้ว มีความเป็นไปได้ว่าจะมีเหยื่อของเขาถึงกว่า 200 ราย
โฮล์มถูกแขวนคอเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 1896 ส่วนปราสาทฆาตกรรมของเขาได้ถูกรื้อถอนเพราะสร้างไม่ได้มาตรฐาน