“สร้างวัดแค่พระพออยู่” แล้วหันมา “สร้างโรงพยาบาล” ไม่ดีกว่าหรือ? ลองคิดดูเถิด…
วันนี้แอดมีเรื่องราวที่ให้แง่คิดดีๆ มาฝาก เชื่อว่าหากทุกคนได้อ่านแล้วรับรองเลยว่า ต้องกลับมาเหลียวมองการทำบุญของเราในทุกวันนี้
..ท่านเคยคิดหรือมองมุมมุมนี้ไหมครับ.. วัดมีเงินเหลือร้อยล้านพันล้าน แต่โรงพยาบาลมี ”หนี้ร้อยล้าน” เข้าโรงพยาบาลขอรับบริการฟรีๆดีๆ เข้าวัดพระตีกระบาลแทบแตก บอกชอบ ต้องบริจาคเงิน ”ให้เยอะๆ”
หมอรักษาจนหาย “ดีใจรอดตาย” รีบกลับไปแก้บนสร้างวัด สร้างวิหาร ไหว้พระขอบคุณพระ หมอรักษาไม่ไหว ไปไม่รอดตามวัฎสงสาร กลับด่าหมอ ด่าพยาบาล ไม่ไปด่าเทวดาที่บนไว้
..ลองมาคิดใหม่ ทำใหม่.. สร้างวัด สร้างวิหารแค่พระพออยู่ แล้วมาสร้างโรงพยาบาลที่ดี มีเครื่องมือแพทย์ทันสมัย รักษาคนป่วยให้หายไวๆ …แบบนี้จะดีกว่าไหมครับ??
ปัญหาเรื่องที่ว่า การทำบุญให้โรงพยาบาลกับการทำบุญให้กับวัด อะไรดีกว่ากัน ?
เรามาถึงยุคที่คนไทยไม่เข้าใจกันเสียแล้วว่า การทำบุญบริจาคให้กับวัด ทำเพื่อประโยชน์อะไร? ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะมีวัดหลายแห่งนำศรัทธามาขาย แต่ไม่ผูกโยงไว้ด้วยปัญญา เช่น สอนกันว่าเงินซื้อนิพพานได้ หรือไม่ก็เน้นกันที่เครื่องรางของขลัง พิธีกรรม สิ่งศักสิทธิ์ มีศรัทธาเป็นเหยื่อ แต่ไม่ใช้ปัญญา ทำให้คนไทยเริ่มห่างวัดมากขึ้น จนท้ายที่สุด คนไทยหลายคนอาจกลายเป็น “คนเกลียดวัด” ไปโดยปริยาย
ผนวกกับแนวคิดแบบสุดโต่งทางวิทยาศาสตร์ที่เชื่อว่า โรงพยาบาลเป็นสถานที่อันประเสริฐในการช่วยรักษามนุษย์ให้หายขาดจากความ “เจ็บป่วย” จึงให้คุณค่าของโรงพยาบาลดูสูงส่งมากกว่าวัด ทำให้เกิดข้อถกเถียงกันว่า ทำบุญสร้างโบสถ์สร้างวัด กับทำบุญสร้างโรงพยาบาล อะไรดีกว่ากัน?
ง่ายนิดเดียวสำหรับคำถามนี้ เราแค่ต้องขบคิดให้แตกฉานเสียก่อนว่า โรงพยาบาลมีความสามารถอะไรที่วัดไม่สามารถกระทำได้ และ วัดมีความสามารถอะไรที่โรงพยาบาลไม่สามารถกระทำได้บ้าง?
– โรงพยาบาล อาจรักษาคนที่ป่วยไข้ทางกายได้ แต่โรงพยาบาลไม่สามารถสมานแผลทางจิตใจได้ โรงพยาบาลไม่ได้ช่วยให้มนุษย์รู้จักละความโลภ โกรธ หลง เช่นเดียวกับที่วัดไม่สามารถรักษาโรคทางกาย ในเชิงวิทยาศาสตร์แบบที่โรงพยาบาลสามารถทำได้
– โรงพยาบาลอาจยื้อชีวิตมนุษย์ให้ยืดยาวออกไป แต่โรงพยาบาลก็ไม่ได้บอกความจริงกับมนุษย์ว่า ร่างกายนี้เป็นของชั่วคราว ถ้าเราไปยึดมันมาเป็นของเราอย่างถาวร เราจะเป็นทุกข์ โรงพยาบาลไม่ได้บอกเราแบบนี้หน้าที่ของโรงพยาบาล คือ ทำยังไงให้ร่างกายนี้ยังคงทำงานต่อไปให้ได้นานและมีประสิทธิภาพที่สุด
– วัดรักษา“โรค”ทางกายแบบโรงพยาบาลไม่ได้ แต่วัดช่วยเยียวยา “ความทุกข์” ในใจคนได้ ซึ่งวัด (ที่ดี) จะสอนให้คนไม่ยึดเอาอดีตที่เจ็บปวด มาเป็นธนูดอกที่สอง ซึ่งคอยทิ่มแทงเราก่อนนอนทุกคืน วัดไม่สามารถช่วยให้เราปราศจาก “โรค” แบบโรงพยาบาลได้ แต่วัดช่วยให้เราหมด “ภัย” ด้วยการรู้จักให้ “อภัย” ได้
ซึ่งแตกต่างจากโรงพยาบาลที่ช่วยให้เราหมด “โรค” แต่อาจไม่หมด “ภัย” อีกทั้งวัดยังช่วยให้เราเบิกบานจากการมีสติ ไม่เอาเรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้นในอนาคตมาเป็นบ่วงรัดคอตน
ทีนี้ทำบุญบริจาคกับวัด หรือ ทำบุญบริจาคกับโรงพยาบาล ควรเลือกอย่างไหน?
ตอบ : ควรเลือกทั้ง 2 อย่าง ถ้าเราลองพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้วก็จะพบว่า สังคมเราต้องการทั้งโรงพยาบาลและวัด เราต้องการทั้งสถานที่ ๆ เยียวยาทั้ง “ร่างกายและจิตใจ”
พุทธองค์แสดงให้เราเห็นเป็นตัวอย่างโดยการถนอมร่างกายเอาไว้เพื่อทำคุณประโยชน์แก่โลก (พุทธเจ้าจึงไม่ดื่มเหล้า เสพของเมา และละทิ้งการทรมานตน) เราก็ควรจะเอาเยี่ยงอย่าง หากเราเจ็บป่วยก็เข้าโรงพยาบาล มันเป็นไปตามธรรมชาติของมัน
มีเกิด มีแก่ มีเจ็บ มีตาย เราก็รักษาร่างกายไปเพื่อหวังว่า จะมีพรุ่งนี้ที่ได้ทำคุณประโยชน์ต่อโลก ต่อผู้อื่น ได้ทำหน้าที่ ที่ยังค้างคาอยู่ ทั้งหน้าที่ของพ่อ แม่ สามี ภรรยา หน้าที่ของลูก และหน้าที่การงาน โดยไม่ต้องหวังที่จะหอบสังขารหนีจากความตาย เพราะมันเป็นไปไม่ได้
ในส่วนของ จิตใจ ที่พึ่งพิงอาศัยอยู่ในกาย ทั้งยังมีอำนาจอยู่เหนือกายด้วย “จิต/ใจ เป็นนาย กายเป็นบ่าว” ถ้ามนุษย์ไม่พึงพัฒนาให้มี จิต/ใจ ที่ดีงาม ปราณีต ชีวิตก็จะมีแต่กายที่เที่ยวทำตามแต่ตัณหา อันมีกิเลสเป็นเหยื่อล่อ โลกก็จะลุกเป็นไฟจากการเบียดเบียนกัน โดยหวังเพียงเพื่อแสวงหาความสุขนอกกายเป็นสำคัญ ทีนี้บางคนอาจเถียงว่า…
“ชีวิตฉันไม่ต้องมีวัด จิตใจฉันก็ประเสริฐอยู่แล้ว” ก็ต้องบอกว่…ขออนุโมทนากับท่านที่เกิดพุทธิปัญญาแบบนี้ได้โดยไม่ต้องเข้าวัดหรือไม่ต้องศึกษาพระธรรม แต่อยากจะร้องขอให้ท่านมีความเมตตาต่อสัตว์โลก ที่ยังไม่สามารถก้าวข้ามความทุกข์ไปสู่ทางพ้นทุกข์ได้ แต่ละคนมีสติและปัญญาไม่เท่ากัน ได้โปรดเห็นใจและช่วยเหลือสัตว์โลกที่มีปัญญาไม่เท่าพวกท่านด้วย “ท่านอาจไม่ต้องการวัด แต่คนอื่น ๆ อาจต้องการวัด”
ท้ายที่สุดคงต้องมองดูการบริจาคด้วย สติและปัญญา โดยคำว่า บริจาค มาจากคำว่า ‘ปริจจาคะ’ หมายถึงการเสียสละ แต่ถ้าจะพูดให้แลดูไม่ถูกเอาเปรียบนัก อาจต้องใช้คำว่า “เผื่อแผ่” และก็คงจะดีไม่น้อย ถ้าเราจะเผื่อแผ่อะไรบางอย่างในชีวิตของเรา เพื่อต่ออายุทางกายให้กับผู้อื่น และช่วยเยียวยาความทุกข์ในใจของผู้อื่นได้ด้วย ….คุณว่าจริงไหม ? “ปลง”
ถ้าข้อมูลนี่เป็นประโยชน์และสามารถช่วยใครได้อีกหลายๆคน อย่าเก็บไว้อ่านคนเดียวน๊า อย่าลืมส่งให้คนที่คุณรัก ได้อ่านด้วยนะคะ
1 แชร์ 1 ธรรมทาน แชร์ไปได้บุญ สร้างกุศลความดี
แหล่งที่มา: netzaa.com