ชนิดของ HIV และการดำเนินโรคในผู้ติดเชื้อ HIV
ชนิดของ HIV และการดำเนินโรคในผู้ติดเชื้อ HIV
เชื้อเอชไอวี (HIV) แบ่งออกเป็น 2 types (HIV-1 และ HIV-2) และใน HIV-1 ยังแบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม (group) คือ กลุ่ม M (major), กลุ่ม O (outliers), กลุ่ม N (non-M, non-O) และกลุ่ม P (pending for the identification of further human cases) เชื้อที่ระบาดอยู่ในปัจจุบันเป็นเชื้อในกลุ่ม M ซึ่งกลุ่มนี้ยังแบ่งย่อยเป็น subtypes (หรือ clades) ได้อย่างน้อย 10 subtypes เริ่มจาก A ถึง K (ยกเว้น I) และบางสายพันธุ์เป็นไวรัสลูกผสมที่เกิดจากการติดเชื้อมากกว่าหนึ่งสายพันธุ์ซึ่งพบในประชากรอย่างน้อย 3 คนขึ้นไปเรียกว่า circulating recombinant form (CRF) เช่น subtype E ซึ่งเป็น CRF01_AE ที่เกิดจากการติดเชื้อ 2 subtypes ระหว่าง subtype A และ subtype E ในปัจจุบัน CRF มีรายงานทั่วโลกแล้วอย่างน้อย 43 ชนิดแล้ว และยังมีชนิด unique recombinant form (URF) ที่พบในกรณีลูกผสมที่เพิ่งเกิดใหม่ในคนเดียว สำหรับการติดเชื้อเอชไอวี ทั่วไปในประเทศไทยพบ 2 subtypes คือ subtype CRF01_AE และ subtype B
การดำเนินโรคในผู้ติดเชื้อ HIV
โดยทั่วไปแบ่งระยะการติดเชื้อฯ ตามอาการได้เป็น 3 ช่วง ได้แก่ ระยะแรกหรือระยะเฉียบพลัน (primary/acute infection) ระยะเรื้อรังที่ไม่มีอาการ (chronic asymptomatic infection) และระยะเอดส์ (AIDS) ในช่วงระยะเฉียบพลันร้อยละ 40-90 พบอาการ มีอาการไข้ เจ็บคอ ปวดศีรษะ ปวดเมื่อย ต่อมน้ำเหลืองโต ออกผื่น) ซึ่ง ในระยะนี้ตรวจพบปริมาณไวรัสเพิ่มจำนวนมาก เมื่ออาศัยการวินิจฉัยการติดเชื้อฯ ทางห้องปฏิบัติการ พบว่าช่วงแรกหลังติดเชื้อฯ ใหม่ๆประมาณ 5-10 วัน เป็นช่วงที่ยังตรวจไม่พบ HIV RNA ในกระแสเลือด เนื่องจากเชื้อต้องใช้เวลาในการเพิ่มจำนวนโดยอาศัยพลังงานจากเซลล์เจ้าบ้าน หลังตรวจพบเชื้อจึงตรวจพบแอนติบอดีจำเพาะในเวลาอีก 5-10 วันต่อมา โดยสรุปว่า ในระยะแรกของผู้ติดเชื้อฯ ใหม่ๆประมาณ 5-10 วันจะตรวจพบ HIV RNA ในเลือดก่อนตามมาด้วย HIV p24 Ag อีก 5 วันต่อมา (หรือประมาณ 10-15 วันหลังติดเชื้อ) หลังจากนั้นจึงตรวจพบ anti-HIV Ab (anti-HIV) ในเวลาประมาณ 15-20 วันหลังติดเชื้อเอชไอวี หลังจากนั้นผู้ติดเชื้อฯ ส่วนใหญ่เข้ามาสู่ระยะไม่มีอาการปรากฏพบได้เป็นเวลาหลายเดือนจนถึงมากกว่า 15 ปี เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันจำเพาะทั้งเซลล์และแอนติบอดีควบคุมเชื้อฯ ให้กลับลงมาอยู่ที่ระดับในปริมาณคงที่ (set point) ซึ่งเป็นสมดุลระหว่างไวรัสและระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย (steady state) เชื้อไวรัสยังคงเพิ่มจำนวนได้ในอัตราต่ำๆ ซึ่งสะสมอยู่ภายในต่อมน้ำเหลืองตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย หรือในต่อมน้ำเหลืองกลายเป็นแหล่งรังโรค (reservoir) ในระยะท้ายผู้ติดเชื้อฯ พบภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องหรืออาการของโรคเอดส์ ในระยะนี้เริ่มมีการติดเชื้อฉวยโอกาสและ/หรือเป็นมะเร็งบางชนิดได้