หน้าแรก ตรวจหวย เว็บบอร์ด ควิซ Pic Post แชร์ลิ้ง หาเพื่อน Chat หาเพื่อน Line หาเพื่อน Skype Page อัลบั้ม แต่งรูป คำคม Glitter สเปซ ไดอารี่ เกมถอดรหัสภาพ เกม วิดีโอ คำนวณ การเงิน
ติดต่อเว็บไซต์ลงโฆษณาลงข่าวประชาสัมพันธ์แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสมเงื่อนไขการให้บริการ
เว็บบอร์ด บอร์ดต่างๆค้นหาตั้งกระทู้

เหม เวชกร : ซีรี่ย์เปิดกรุผีไทย ตอน ภาพปั้นเป็นเหตุ | อย่าสร้างรูปปั้นศพที่ยังไม่ได้เผา

เนื้อหาโดย CasanovA

จากเรื่อง : ภาพปั้นเป็นเหตุ

คนอายุ 50 ปี คุ้นหูกับชื่อของเหม เวชกร ในฐานะนักเขียนภาพชั้นครู ส่วนคนอายุราว 30 อาจจะคงคุ้นตากับภาพเขียนประกอบฝีมือของเหม ที่ยังปรากฏในหนังสือแบบเรียนอยู่บ้าง แต่คนรุ่นหลังจากนั้นอาจจะไม่รู้จักชื่อนี้เเลย

ชีวิตของเหม เวชกร มีหลากสีสัน หลายรสชาติ เช่นเดียวกับความสามารถของครูในเชิงศิลปะที่มีหลายด้าน ทั้งจิตรกรรม ดนตรี และวรรณกรรม นอกจากเป็นศิลปินที่โดดเด่นในฐานะนักเขียนภาพวิจิตรแล้ว ท่านยังมีงานวรรณกรรมแนวสยองขวัญ หรือเรื่องผี ถึง 108 เรื่อง

ผลงานเรื่องผี ของเหม เวชกร มีความแตกต่างจากผลงานของนักประพันธ์ท่านอื่นๆ ตรงที่การบรรยายฉากต่างๆ ในท้องเรื่องมักจะสะท้อนให้เห็นถึงสภาพความเป็นอยู่ ขนบธรรมเนียมประเพณี การแต่งตัว ตลอดจนวิถีชีวิตต่างๆ ของคนไทยในช่วง พ.ศ.2476-2512

เรื่องผีของท่านไม่ได้โหดอำมหิต แหกอกปลิ้นตา หลอกหลอนผู้คนอย่างไม่มีเหตุผล แต่ส่วนใหญ่เป็นเรื่องของความห่วงหาอาทรของดวงวิญญาณ ที่ผูกพันกับโลกมนุษย์ หรือเป็นเรื่องรักระหว่างสองภพที่ซาบซึ้งตรึงใจ โดยสอดแทรกวัฒนธรรมและคติธรรมไว้ในเรื่องราวอย่างน่าประทับใจและที่สำคัญ ท่านได้วาดภาพประกอบเรื่อง ที่เข้าถึงบรรยากาศได้อารมณ์อย่างลึกซึ้ง

 

ภาพปั้นเป็นเหตุ เรื่องมีอยู่ว่า…

มีอีกเรื่องแล้วครับท่านผู้อ่านที่เคารพรัก ความจริงมันก็ไม่แปลก แต่มันก็เกิดแปลกขึ้นอย่างไม่น่าจะเป็นไปได้ เรื่องนายมั่นของเรานั่นแหละครับ

นายมั่นช่างหล่อพระนั่นแหละ ขาประจำคุยของเราอยู่บ้านขมิ้น แต่เกือบไม่ได้อยู่บ้าน ส่วนมากมาชุมนุมกันที่วัดระฆังนี่แหละ กุฏิคุณนพเป็นแดน บัดนี้นายมั่นไปรับจ้างเขาหล่อรูป แต่เป็นรูปคนธรรมดา ไม่ใช่รูปพระอย่างที่เคยรับจ้าง จึงคิดมีเรื่องแปลกขึ้นถึงกับต้องมาเล่าให้เราฟัง

 

เรื่องมันมีอยู่ว่า ตระกูลหนึ่งเป็นเศรษฐีเก่า บ้านอยู่ริมฝั่งน้ำเจ้าพระยา ฟากธนบุรี บ้านนั้นเป็นตึกแบบเก่าๆ บ้านอยู่ทางจะไปบางยี่ขัน ท่านเศรษฐีนี้ได้สิ้นชีพลง สมบัติทั้งหมดได้แบ่งกันไปเป็นที่เรียบร้อยในวงศ์ลูกและหลาน ซึ่งสมบัตินั้นมีอยู่หลายแห่งด้วยกัน แต่ตึกแบบเก่าอยู่ชายน้ำที่ว่านี้ได้ตกเป็นมรดกของลูกชายคนใหญ่คือ คุณอำนาจ และคุณอำนาจผู้นี้เป็นผู้มีกตัญญูในบิดามารดาอย่างเคร่งครัด มีความรู้สึกแก่ตัวเองว่าได้มีหลักฐานร่ำรวยมานี้ก็เพราะบิดามารดา จึงคิดจะทำอะไรเป็นที่ระลึกเตือนใจมิให้เสื่อมคลายลงได้ ในเรื่องความกตัญญูรู้คุณนี้

จึงเกิดคิดสร้างภาพปั้นของบิดาขึ้นเพื่อติดตั้งไว้ในบ้านเป็นอนุสาวรีย์เสียเลย จึงได้ตกลงกับช่างปั้นให้ปั้นภาพบิดาขึ้นโดยเร็วทันใจ ให้ทันกับเวลาที่ร่างกายของบิดายังใส่โลง และสวดพระธรรมอยู่ตามกำหนดทุกเจ็ดวัน ให้รูปปั้นรีบมาแทนตัวจริงที่เน่าไปแล้ว ชั้นแรกขอให้ปั้นด้วยปูนก่อนแล้วจะหล่อเป็นทองแดงคราวหลัง เมื่อลงมือสร้างตึกใหม่ในเวลาเผาศพไปแล้ว

และภาพปั้นนั้นก็แล้วทันใจที่ตั้งไว้ โดยภาพนั้นโตเท่าตัวจริงๆของบิดา นำเข้าตั้งบนฐานตั้งในห้องโถงที่ตั้งศพนั้นเอง จึงเกิดมีการบูชาด้วยดอกไม้ ธูปเทียนต่อรูปปั้นเป็นประจำวัน ทั้งพวงหรีดและดอกไม้สดไม่ขาดที่

 

มีเพื่อนๆของคุณอำนาจพูดเตือนว่าการปั้นรูปพ่อของตัวในส่วนสัดเท่าตัวจริงนี้ ในระยะเวลาที่ศพพ่อยังอยู่กับบ้านนี้นั้น ไม่เหมาะแก่การ… ควรจะปั้นเพียงครึ่งตัวเท่านั้น แต่ขนาดนั้นเล่าจะโตกว่าตัวจริงก็ได้ เล็กกว่าตัวจริงก็ได้ การปั้นเต็มตัวและขนาดเท่าคนจริงๆนี้ จะทำให้เกิดหวั่นหวาด จะกลายเป็นที่สะเทือนใจไปในทางผีๆ สางๆ มองไปพบเมื่อใดก็สะดุ้งสะเทือนทุกครั้ง ลงท้ายคนจะกลัวและไม่กล้าเข้าใกล้ภาพนั้น

 

คุณอำนาจเป็นคนทำอะไรแล้วไม่ถอยหลัง ก็ตอบเพื่อนว่า… ตอนแรกทำไมไม่เตือนเสียก่อน ที่เตือนนี้ก็ขอบใจมาก แต่การทำอะไรลงไปแล้วต้องล้มเลิก คุณอำนาจถือว่าเป็นนิมิตไม่ดี เป็นคนท้อถอย จะทำสิ่งใดการใดย่อมไม่สำเร็จ และข้อสำคัญ ภาพนั้นได้รับการสักการะบูชาแล้วจะหยุดเลิกเสียมิได้เป็นอันขาด ที่ร้ายที่สุดคือเท่ากับทำลายพ่อของตัวเอง แม้แต่จะเป็นเพียงภาพจำลอง หรืออีกนัยหนึ่ง เกิดจะมากลัวพ่อของตัวเอง ก็ไม่ใช่ลูกกตัญญูจะควรทำ

เมื่อเพื่อนๆได้ยินคุณอำนาจพูดดังนั้นก็เลิกเตือนกัน

 

ภาพปั้นคงยืนตระหง่านในห้องโถงนั้นเรื่อยมา ในลักษณะสง่าผ่าเผยของคุณปู่คุณตาคุณพ่อ

ในวันต่อมาก็เกิดความผันแปรขึ้นในบ้านนั้น คือแต่เดิมทีเดียวพวกลูกพวกหลานเอาดอกไม้และธูปเทียนมาบูชาศพ แล้วก็มักจะนั่งเล่นกันอย่างสบายใจในห้องศพคุณปู่คุณตา เพราถือว่าศพคุณปู่คุณตาในโลงนั้น เป็นที่อบอุ่นแก่บ้านและตระกูล แต่ครั้นภาพปั้นเข้ามายืนอยู่ในนั้น ต่างคนก็เอาดอกไม้ไปบูชาที่ภาพนั้น พอนานวันเข้าผู้ที่เข้าไปบูชาแล้วก็รีบออกพ้นห้องไป เพราะทุกคนไม่กล้ามองดูหน้าของภาพนั้นเลย แอบบ่นกันว่าภาพปั้นนั้นช่างเหมือนผู้ตายจริงๆ คล้ายๆผู้ตายมายืนอยู่แท้ๆ และหน้าที่เหมือนผู้ตายนั้นแทบจะยิ้มออกมาได้จริงๆ

บางคราวคล้ายจะมองดูผู้เข้าไปในห้องนั้นด้วยดวงตาของคนแท้ๆ บางคนถึงกับสะดุ้งหลบสายตาของภาพนั้นโดยเร็ว แต่ไม่กล้าจะพูดกันว่าอย่างไร เพราะนั่นคือภาพของคุณพ่อคุณปู่คุณตา ผู้บังเกิดเกล้า แต่เป็นเรื่องหน้าประหลาดนัก ที่คุณอำนาจไม่เคยพบความวิปริตอย่างที่คนอื่นพบเลย และคนอื่นที่พบแล้วก็ไม่กล้าพูดให้คุณอำนาจฟัง เกรงว่าจะเป็นคนอักตัญญู มองเห็นหน้าผู้มีคุณล้นหัวเป็นผีเป็นสางไป

 

ครั้นเก็บศพอยู่ได้ครึ่งปีแล้วตามกำหนด คุณอำนาจและภรรยา ร่วมด้วยวงญาติทั้งหลายได้จัดงานศพกันไปเป็นที่เรียบร้อย ในห้องนั้นจึงมีเพียงภาพปั้นยืนตระหง่านอยู่เพียงโดเดี่ยว เกือบไม่มีใครกล้าเข้าไป เพียงเอาดอกไม้เข้าไปบูชาก็หลายคนด้วยกัน แล้วก็รีบออกไปหมด คงมีแต่คุณอำนาจคนเดียวที่คงเข้าออกเป็นปกติ เคยไปนั่งอ่านหนังสืออและนอนหลับเสมอๆ

 

ต่อมาความผันแปรได้เป็นไปอย่างใหญ่หลวง คือคุณอำนาจล้มป่วยไม่กี่วันก็รู้ว่าเป็นมะเร็ง ความจริงเป็นมานานแล้ว แต่คุณอำนาจใจแข็งไม่ยอมอ่อนแอให้เห็น มะเร็งในท้องที่คุณอำนาจทนทานมานานชักจะมีการอาละวาดขึ้น หมอบอกเด็ดขาดว่าต้องผ่าตัด มิฉะนั้นไม่มีทางจะอยู่ต่อไปไดเ คุณอำนาจเป็นผู้รอบคอบ จึงจัดการทำมรดกไว้ให้แก่ภรรยาและลูกหลานทุกคน แต่ในมรดกนั้นมีคำเหมือนจะบังคับสาปแช่งไว้

“ถ้าใครรับมรดกไปแล้วได้ทำลายทุกสิ่งที่มีอยู่เก่าเสีย ขอให้ผู้ทำลายทุกคนจงมีอันเป็นไปทันตาเห็น”

 

“นี่แหละครับ มันเรื่องยุ่ง” นายมั่นว่า

“เมื่อคุณอำนาจไปผ่าตัดนั้น จะเป็นโดยหมอให้ยาสลบมากไป หรือกำลังคุณอำนาจไม่พอก็ไม่ทราบ เลยผ่าตัดและเย็บท้องเสร็จแล้ว ไม่ฟื้นขึ้นมาอีก ตายไปเลย”

“เมื่อไปสวดศพกันที่วัดแล้ว ก็เก็บศพไว้ตามระเบียบ ทีนี้ทางห้องภาพปั้นสิครับ ทั้งคุณนายและพวกลูกๆ ขอร้องไห้ปิดห้องตายเลย ไม่มีธุระร้อนจริงๆ ไม่เปิดเลย”

“แต่ที่บ้านก็กว้างขวางไม่ใช่เรอะ?” คุณนพพูด

“เพียงปิดห้องนี้ตาย ก็ยังมีที่อยู่ที่อาศัยอีกมากมายไม่ใช่รึ”

“อย่างนั้นก็ใช่ละครับ แต่มันเดือดร้อนอย่างอื่นอีกครับ” นายมั่นพูดแล้วทำหน้าเมื่อย

“เดือดร้อนยังไงล่ะ?”

“คุณนายนิ่มนวลภรรยาคุณอำนาจเล่าให้ผมฟังว่า ลูกชายกับลูกสาวที่อยู่มหาวิทยาลัย เห็นภาพปั้นนั้นเดินไปที่ท่าน้ำ ออกจากห้องเดินไปด้วยกิริยาแข็งๆ ไปยืนดูฝั่งน้ำอยู่หน่อยแล้วเดินกลับเข้าห้องดังเดิม”

“ลูกชายลูกสาวยืนยันว่าเห็นถนัดตาเลย เพราะแสงไฟยังมีอยู่บ้าง และคืนนั้นก็มีแสงเดือนช่วยนิดหน่อย”

 

พวกเราที่นั่งฟัง มีครูพยุง ผม และคุณนพ ยังไม่เชื่อลงไปเด็ดขาด เพราะเราไม่ได้เห็นเอง และผู้ที่เห็นก็ยังเป็นเด็กหนุ่มเด็กสาวนัก มีความไม่ชอบและกลัวเป็นทุนอยู่แล้ว ตาอาจจะฝาดไปได้

“แต่ครั้งนี้คุณนายนิ่มนวลเห็นเองเลยครับ แกว่าวันนั้นฝนตกตอนใกล้ค่ำ ตัวแกยืนอยู่ที่หน้าต่างตึกชั้นบน และชั้นล่างก็มีไฟอยู่บ้างแต่ไม่สว่างนัก”

“คุณนายแกเห็นภาพขาวๆ ยืนตากฝนอยู่ที่โคนต้นจันทร์ แกก็เพ่งตามองว่าใครมายืนตากฝน… พอภาพแลบแปลบเท่านั้น ก็เห็นชัดว่าเป็นภาพปั้นคุณพ่อ มายืนอาบน้ำฝนอยู่ และลูกตาของภาพนั้นยังตรงกับตาคุณนายเป๋งเลย”

“เอ๊ะ ก็เอาการแฮะ” ครูพยุง..ครูภาษาอังกฤษของผมพูดออกมา

“เรื่องอย่างนี้ผมว่ามันเป็นความจริง การตายใหม่ๆของใครก็ตาม เขาไม่ปั้นรูปคนคนนั้นให้โตเท่าตัวจริงเลย ถ้าโตเท่ายักษ์หรือไม่ก็เล็กกว่าตัวจริง ยังมองดูว่าเป็นภาพตุ๊กตา”

“ถ้าเท่าตัวจริงมันจะไปกันใหญ่ มันทำให้รู้สึกว่าเป็นผีของคนคนนั้น รูปปั้นอย่างนี้ ถ้าเจ้าตัวยังไม่ตายมองดูแล้วก็น่ารัก แต่ตายลงเมื่อใดก็คล้ายว่าภาพที่เห็นนั้น คือผู้ตายมายืนอยู่ข้างหน้าเรานี่เอง”

 

“ที่นายมั่นรับปั้นและหล่อภาพนั้นน่ะ ทำอย่างไรล่ะ” คุณนพถาม

“คุณนายแกได้รับคำเตือนมาจากใครไม่รู้ ว่าให้ปั้นเสียใหม่ เล็กลงกว่าเก่า และเป็นครึ่งตัว ให้หล่อเป็นทองแดงเลย”

“เมื่อไหร่จะลงมือปั้นล่ะ?” คุณนายถาม

“ผมไม่ได้ปั้นเองหรอก ผมไปหาช่างปั้นที่คุ้นเคยกัน เล่าเรื่องให้เขาฟังแล้วว่าจ้างเขาปั้น เขาพากันไม่รับปั้นครับ”

“อ้าว ทำไมล่ะ?”

“แปลไม่ออกคับ พวกศิลปินนี่ลำบาก เขาทำอะไรมักตามอารมณ์ พอใจก็ทำไม่พอใจก็ไม่ทำ”

“เขาพูดสั้นๆว่า ไม่ช่อบทำงานอะไรๆที่มีความยุ่งยากมาแต่เดิม ชอบทำแต่ที่สบายๆใจ เขาว่ายังงี้ล่ะครับ ผก็เลยหมดปัญญา”

“ก็ปั้นเสียเองก็หมดเรื่อง”

“โอ๋ยโย่!” นายมั่นร้อง

“ผมปั้นเองหน้าตาก็เป็นพระพุทธไปหมด ปั้นรูปเหมือนนะไม่เคยเลยครับ ปั้นไม่ได้แน่ๆ”

 

“ในมรดกทีมีคำสาปแช่งไว้ว่า ไม่ให้เปลี่ยนแปลงอะไรที่มีอยู่ไม่ใช่หรือ?” คุณนพถาม

“ไม่ใช่ครับ ห้ามทำลายเท่านั้น การเปลี่ยนแปลงไม่ได้อยู่ในการสาปแช่ง คุณนายจึงได้ความคิดให้หล่อภาพใหม่มาแทน”

“แล้วภาพเก่าล่ะ?” คุณนพย้อนถาม

“นั่นน่ะซิ! ผมไม่ได้ถามคุณนายแก เห็นแกว่าไม่เกี่ยวอะไรกะผม ความจริงน่ะเรื่องปั้นเรื่องหล่อนี่ก็เถอะ ผมสมัครใจเมื่อไหร่ ดตุคุณนายแกยุ่งกะผมจริงๆ”

“เกาะหัวเข่าขอร้องกันเลย ว่าไม่เห็นใครแล้ว แกกลุ้มใจแทบเป็นบ้า ลูกเต้าอยู่ไม่เป็นสุข หวาดกลัวไปตามๆกัน”

“แกขอให้ผมทำแก้อาถรรพ์ อย่าให้ผิดคำสาปในมรดก ผมก็หมดทาง ไม่รู้จะเอาอะไรไปแนะนำแก ครั้นหลบหน้าไป แกก็ตามไปที่บ้านเรื่อย”

 

“แล้วจะว่าไงล่ะ?” คุณนพถาม โดยเป็นห่วงในฐานะที่เป็นพวกกัน

“บอกว่าซิครับ รำคาญใจจริงๆ ที่ผมมานี่ก็มาขอหารือกับท่านว่าจะทำอย่างไรดี เอาล่ะสมมติว่าปั้นแล้ว และหล่อแล้ว จะทำอย่างไรกับภาพเก่าที่ทุกคนไม่ต้องการ แต่จะให้ผมทำลายน่ะ ไม่เล่นด้วยละครับ”

“บ๊ะ! ไม่น่าเป็นปัญหาโลกแตกเลย” คุณนพว่า

“ผมน่ะอยากจะนิมนต์ท่านไปคุยกับคุณนายสักหน่อยจะดีทีเดียว”

“เอ๊ะ! มันเรื่องอะไรของฉันล่ะ อยู่ๆสะเออะเข้าไปเฉยๆ”

“เรื่องนี้ผมได้พูดกับคุณนายไว้แล้ว แกว่าจะมาหาคุณที่วัดนี่ จะนัดกันเมื่อไหร่ก็ได้ หรือว่าท่านกับพวกเราจะอยากไปดูภาพนั้นเล่นบ้าง นัดไปที่บ้านก็ได้”

“อ้าว! นี่แอบไปพูดจากับคุณนายเรื่องฉันไว้แล้วเรอะ?”

“ครับ ผมจนท่าจริงๆ คุณนายแกก็จนหนทาง พอพูดเรือ่งท่านขึ้นแกก็ดีใจจะขอพึ่งคำแนะนำจากพระขึ้นมาทีเดียว”

 

“เอ! มันยากนา” คุณนพครางออกมา

“การจะไปให้คำแนะนำน่ะ อ้ายการปั้นใหม่หล่อใหม่น่ะมันก็ควรละ ควรอย่างยิ่งทีเดียว จะได้หมดความหวาดกลัวกัน”

“แต่ภาพเก่าล่ะ เมื่อทำลายภาพเก่าไม่ได้ จะไปหล่อใหม่ทำไมให้เสียเงิน”

“นั่นน่ะซี” นายมั่นร้องออกมาอย่างขอไปที ซึ่งไม่มีอะไรจะดีกว่าคำนี้

“ถ้าจะมีทางเลี่ยงกัรก็มีทางเดียว อัญเชิญภาพเก่าไปอยู่วัดเลย ประดิษฐานไว้เลย” นายมั่นออกความเห็น

“โอ๊ะ! แต่คงไม่ใช่วัดนี้นะ” คุณนพร้องขึ้น พวกเราเลยฮากันครืน นายมั่นเองก็อดหัวเราะไม่ได้

“มันมีปัญหาอยู่นะ อะไรๆก็เข้สวัดทั้งนั้นน่ะไม่ใช่ทำงายๆ มันมีอยู่ว่าผู้ัเป็นเจ้าภาพน่ะ มีคุณอะไรแก่วัดจึงจะเอาภาพมาตั้ง สร้างวัดเรอะ ถ้าไม่มีอะไรเลยสักอย่าง ก็ต้องซื้อที่เขาเพื่อจะตั้งภาพ อยู่จะเอาเข้าวัด วัดไหนล่ะจะยอม”

“อ้ายของที่ดีไม่เอาเข้าวัด อ้ายของไม่ต้องการแล้วจะเอามาทิ้งในวัดมันดูกะไรอยู่ เอาหมามาปล่อยงี้ แมวมาปล่อยงี้ นี่จะเอาภาพผีสิงเข้าปล่อยอีกละ” คุฯฯพพูดอย่างขบขันเลยหัวเราะกันครื้นเครง

 

การพบกับคุณนายนิ่มนวลได้ตกลงกันยกขบวนพวกเราไปกับพระด้วยที่บ้านคุฯนาย โดยคุณนายจะจัดอาหารเพลให้แก่พระและอาหารกลางวันของพวกเรา เพราะแกต้องการความช่วยเหลือจริงๆ โดยนายมั่นได้ไปนัดหมายกันแล้ว ถึงวันนัดเราก็แห่กันไปทั้งก๊กเรา คุณนายออกมาต้อนรับเป็นอย่างดีและกันเอง ดีใจที่เราจะให้คำแนะนำแก

 

เมื่อคนใช้หลายคนได้เปิดประตูหน้าต่างห้องเก็บภาพปั้นสว่างดีแล้ว คุณนายก็เชิญเราเข้าชม พวกเราก็เข้าไปกันและสิ่งที่สะดุดตาก่อนอื่นก็คือภาพปั้นยืนตระหง่านอยู่ด้านหนึ่งของห้อง ที่เบื้องล่างตอนแท่นที่ยืนมีดอกไม้และธูปเทียนอยู่มาก

คุณนพมองดูภาพปั้นนั้นเฉยอยู่โดยไม่ได้ออกความเห็นแต่อย่างใด ส่วนผมมองดูภาพนั้นแล้วก็ไม่มีความรู้สึกใดๆ เพราะไม่เคยรู้จักกับผู้ตาย จึงไม่รู้ว่าเหมือนหรือไม่เหมือน แต่รู้ว่าช่างปั้นภาพนั้นเก่งจริงๆ ปั้นเหมือนคนจริงๆ ดูมีวิญญาณดังจะหายใจได้

 

คุณนายได้จัดเลี้ยงพระที่ห้องนั่งเล่นริมน้ำ พวกเราก็อยู่กับท่านที่นั่น คนใช้จัดการปิดห้องโถงนั้นเรียบร้อยแล้ว คุณนายได้นั่งคอยดูแลอาหารที่คุณนพฉันอยู่ และพูดคุยไปด้วย

“ความเห็นของฉันนั้น คือให้คุณนายไปติดต่อทางวัดเสียก่อน เพื่อตกลงจะเอาภาพใหญ่นั้นไปประดิษฐานที่นั่น แต่ควรเป็นวัดราษฏร์ ไม่ใช่วัดหลวง จะได้พูดอะไรง่ายๆ ซื่อที่แก่วัดเขาเสียตรงที่เราจะตั้งภาพ แล้วออกเงินบำรุงวัดเสียจำนวนหนึ่ง ก็คงสำเร็จง่ายๆ”

“ครั้นตกลงทางวัดได้แล้ว จึงลงมือสร้างภาพปั้นใหม่ และหล่อเป็นทองแดงให้เล็กกว่าเก่า และเอาครึ่งตัว”

“ส่วนจะติดตั้งที่ใดนั้น สุดแล้วแต่คุณนาย ครั้นแล้วจึงอัญเชิญภาพเก่าไปวัดได้เป็นเวลาติดต่อกันดีด้วย และก็ตรงกับมรดกคือภาพเก่าก็คงอยู่แต่เปลี่ยนที่ไปเท่านั้น เราไม่ได้ทำลาย และทางบ้านก็มีภาพใหม่ของท่านแทนที่ ก็ไม่มีอะไรผิดร้าย เรียบร้อยดีทุกอย่าง”

คุณนายดีใจก้มลงกราบ แล้วออกปากขอบคุณที่เห็นช่องางโปร่งตลอดดี

 

เมื่อคุณนพฉันแล้วคุณนายก็จัดการอาหารให้พวกเรา มีวิสกี้ให้ดื่มด้วยตามฐานะของแก ตัวแกเองก็ร่วมรับประทานอาหารกับเราเป็นกันเอง เมื่อเสร็จอาหารแล้วเราพูดคุยกันอีกพักใหญ่ก็ร่ำลากลับ และก็เฮมาที่กุฏิคุณนพอีก คุณนพจึงเริ่มออกความเห็นเรื่องภาพปั้นนั้นให้เราฟัง

“ภาพปั้นนั้นมีวิญญาณสิงอยู่จริงๆ” คุณนพว่า

“เป็นยังไงบ้างครับ?” ผมถาม “เท่าที่ได้เห็นแก่ตามาแล้ว”

“วิญญาณเข้าสิงในภาพนั้น ก็เพราะลูกหลานนั่นแหละเป็นต้นเหตุ” คุณนพว่า

“เป็นยังไงกัน โปรดพูดเป็นข้อๆไปเลยครับ” ครูพยุงผู้มีนิสัยครูพูดอย่างกับว่าเป็นตำรา

“ภาพนั้น ถ้าหากว่าเผาศพไปนานแล้วและมาปั้นขึ้นก็จะไม่มีอะรเกิดขึ้น แต่นี่เขาปั้นขึ้นเมื่อศพตายใหม่ๆ จิตใจลูกหลายกำลังนุงนังอยู่นี่ ทุกคนใจจดใจจ่ออยู่กับผู้ตาย”

“ทั้งรัก ทั้งอาลัย ครั้นมามีภาพปั้นที่เหมือนตัวจริง จิตก็ยึดเอาภาพนั้นว่าเป็นตัวจริง เพราะร่างกายของผู้ตายตัวจริงไปอยู่เสียในโลงที่ประดับลายทองระยับ มองไม่เห็นอะไร ทุกคนเกือบไม่สนจร่างที่อยู่ในโลง กลับมาเพ่งเล็งเอาที่ภาพปั้นนั้นว่านั่นคือคุณพ่อคุณปู่คุณตา ต่างก็สักการบูชากันใหญ่”

“ไม่ว่าสิ่งใดเมื่อใจคนหมู่มากไปมั่นหมายเอาว่าเป็นนั่นเป็นนี่ สิ่งนั้นก็เกิดจามใจคนหมู่มาก วิญญาณของผู้ตายที่คนทั้งหมดจดจ่ออยู่ ก็ระเห็จมาสิงอยู่โดยรวดเร็ว ไม่ว่าจะดูเวลาใดว่าภาพนั้นอาจจะยิ้มรับ หรือโกรธขึ้งผู้มองดูได้ทุกอารมณ์”

“ทั้งนี้ก็เกิดจากลูกหลานเอาอารมณ์ตัวเข้าไปประกอบกับวิญญาณนั้นๆ ภาพนั้นจะอยู่เฉยๆได้อย่างไร ย่อมเคลื่อนไหวได้ตามอารมณ์คนมอง”

“ตอนแรกๆน่ะต่างคนต่างใจจดใจจ่อ ทั้งรักทั้งอาลัยไม่อยากให้ตาย ก็อยากให้ภาพนั้นกระดิกได้จะดีใจนัก ครั้นกระดิกเข้าจริงๆ ก็กลายเป็นกลัวกันหมด นี่แหละเขาจึงไม่นิยมปั้นภาพคนตายให้เท่าตัวจริง ย่อมเป็นสิ่งหวาดกลัวได้ในตอนหลัง”

 

เมื่อคุณนนพแจงเหตุผลออกมาแจ่มแจ้ง พวกเราก็เห็นจริง ถูกแล้ว สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายก็เกิดจากคนสร้างให้ก่อให้เกิดศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมา

“ภาพนั้นไม่ใช่ตุ๊กตาธรรมดาเสียแล้ว” ครูพยุงพึมพำ

เมื่อเราเลิกประชุมกันแล้ว นายมั่นและครูพยังก็ลากลับไป ส่วนผมยังอยู่อาศัยพระ ก็แยกไปเข้าห้องที่พระยกให้อาศัย นอนพักผ่อนและคิดถึงเรื่องภาพปั้นนั้นอยู่คนเดียว

 

ต่อจากเวลานั้นได้ผ่านไปอีกเกือบอาทิตย์ นายมั่นก็รีบร้อนมาพบพวกเราที่วัดกันอีก

“เกิดเรื่องอีกมากมายครับ ภาพปั้นนั่นแหละ” นายมั่นเริ่มต้นเมื่อนั่งลงแล้ว

“เกิดยังไงอีก?”  คุณนพถาม

“ภาพนั้นแหละครับ สำแดงเดชอีก คุณนายแกมาตามผมและเล่าให้ฟังว่า เมื่อทางผมยังหาช่างปั้นไม่ได้ คุณยุพาวดีลูกสาวแกที่อยู่มหาวิทยาลัยก็รั้งเอาเพื่อนศิลปินปริญญามาปั้นภาพใหม่ให้ พวกคนหนุ่มปริญญาน่ะเขาไม่สนใจอะไรหรอกครับ ทั้งๆเขาก็รู้เรื่องดี แต่เขาไม่สนใจ”

“เมื่อคุณยุพาวดีจะเอาภาพถ่ายให้เป็นแบบ แต่ศิลปินนั่นเขาบอกว่าภาพเก่าสวยดีอยู่แล้ว เท่ากับปั้นจากตัวจริง ขอเอาภาพเก่าเป็นแบบเลย”

“ทีนี้อีตอนที่เขาปั้นอยู่คนเดียว คุณยุพาออกจากห้องนั้นไปหาเครื่องดื่มมาให้ ขณะเมื่อเดินนำหน้าคนใช้ที่แบกถาดเครื่องดื่มเข้ามาที่เก่า เห็นศิลปินนั้นกัมหน้าขยำดินอยู่ เธอก็มองดูภาพปั้นที่เป็นแบบแล้วเธอก็ร้องกี๊ดขึ้น ล้มสลบไป ทุกคนต่างตกใจ การปั้นได้หยุดชะงักลง”

“เอ๊ะ! แล้วทำไงกันล่ะ?” คุณนพถาม

“ก็เลิกกันไป ต่างพากันอุ้มคุฯยุพาไปหาหมอ ศิลปินนั้นก็วางมือการปั้นตามคุณยุพาไปด้วยความเป็นห่วง ครั้นหมอแก้ไขคุณยุพาฟื้นแล้ว แกก็ยังร้องด้วยความกลัวและว่าซ้ำๆกันอยู่เพียงคำหนึ่งว่า… ฉันไม่ยุ่งๆ ฉันเลิก”

“ดูกิริยาเธอยังหวาดเกรงสิ่งที่เห็นถึงกับสลบไป คุณนายกับหมอก็พยายามถามว่าเธอเห็นอะไรจึงตกใจดังนั้น ผเธอไม่ยอมบอก”

“ทำไมไม่บอกช่างปั้นให้เขาปั้นเสียให้เสร็จๆ จะได้หมดเรื่องหมดราวไปเสีย” คุณนพว่า

“จะไม่ยังงันน่ะซี พอคุณยุพาร้องว่าจะไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนั้น พ่อนายช่างนั่น พ่อก็วางมือเสียบ้างน่ะซี”

“อุบ๊ะ!” คุณนพร้อง “ดูมันยุ่งจริงนะ”

“รุ่งขึ้นแน่ะครับ คุณยุพาวดีเธอจึงเล่าให้ฟังว่าเห็นอะไร”

“เออๆ ว่าไงๆ” คุณนพถามติดหมัดเลย

“คุณยุพาเธอว่าในขณะที่แกมองเข้าไปในคราวแรก เห็นนายช่างเพื่อนแกกำลังก้มหน้าอยู่ เห็นภาพคุณปู่มีหน้าขึ้งเคียดแสยะเห็นฟัน แต่ครั้นคุณปู่มองมาทางเธอเข้า คุณปู่ก็เปลี่ยนหน้าเป็นหัวเราะแฉ่ง คุณยุพาเลยช็อกตอนนั้นแหละครับ”

 

พวกเราได้ฟังเรื่องถึงกับตาค้างไปเลย แต่คุณนพนั้นนั่งนิ่งเฉยๆ

“เอ๊! จะเอาไงกันแน่ จะไม่ยอมให้ปั้น หรือคุณปู่หวังจะหยอกหลานสาวเล่น” คุณนพพูดคล้ายหาเหตุผลของเรื่องที่เกิดขึ้น

“โอย ถ้าปู่หยอกอย่างนี้ ถ้าหยอกเราบ้างก็แย่เลย” ผมว่า

“นั่นน่ะซี” นายมั่นรับเห็นด้วย ด้วยคำพูดติดป่าก

“นี่ ศิลปินเขาไม่ปั้นต่อเรอะ” คุณนพถาม

“อ๋อ รุ่งขึ้นเขาปั้นต่อครับ แต่ขอให้คนอยู่เป็นเพื่อนด้วย”

“ตกลงศิลปินคนนั้นเขารับหล่อทองแดงด้วยซิ?”

“เขาไม่เอาครับ เขาบอกว่าไม่มีเวลาและไม่มีที่จะหล่อ ก็เลยมาเป็นเวรให้ผมต้องรีบหล่อและก็เป็นภาพครึ่งตัว และเล็กกว่าคนจริงมาก ถ้าโตเท่าเก่า จ้างกันเงินท่วมหัวก็ไม่ไหว”  นายมั่นว่า

 

พวกเราหัวเราะขบขันนายมั่นที่รับงานได้แต่ละชิ้น ดูแต่เมื่อไปรับหล่อพระที่ทุ่งนครหลวงได้งานก็ไม่ได้ ยังแน่มาอีกด้วยซ้ำ ผมก็พลอยแย่ไปด้วย

“นี่แบบเขาปั้นเสร็จแล้ว นายมั้นเอาไปหรือยังล่ะ ที่จะทำการหล่อน่ะ”

“ผมเอาไปแล้ว ถ้าหล่อเสร็จเมื่อไหร่ ก็จะได้เอาภาพเก่าไปวัด”

“เออ หาวัดได้แล้วเรอะ ลืมถามไป อวัดไหนล่ะ”

“วัดอะไรไม่รู้ครับ ทางบางบัวทองโน่น คุณนายแกให้ใครไปติดต่อไม่รู้ แต่ให้ตายซิ คุณเอ๋ย คุณนายนี่แกยุ่งกะผมเสียจริง ตอนจะเอาภาพปั้นเก่าไปไว้วัด แกขอให้ผมนำไปคุมไป โอย! ไหวเรอะ”

พวกเราหัวเราะครืนใหญ่ เห็นเป็นเรื่องแปลกและขันที่นายมั่นไปเกี่ยวข้องกับเขาเสมอ

“ผมจะหาทางเลี่ยง หลบมาอยู่วัดเสีย บอกทางบ้านว่าไปหัวเมือง”

นายมั่นและครูพยุงลาคุณนพออกจากวัดไปหาเหล้าดื่มกันที่ร้านเจ๊กนอกวัด และคุยกันเรื่องภาพปั้นอย่างสนุกบ้าง ตื่นเต้นบ้าง หวาดกลัวบ้าง ดื่มพอตึงหน้าแล้วต่างก็ลาแยกทางกัน

ครูพยุงกับผมไปกูหาตึกเช่าด้วยกันเพื่อจะตั้งโรงเรียน ต่อไปก็ไม่พบกันอีกตั้งสามอาทิตย์กว่า เพราะต่างคนต่างก็มีธุระของตน นายมั่นคงจะทำการหล่อภาพปั้นทองแดงรายนั้น

 

จนวันหนึ่ง ผมกับครูพยุงกำลังนั่งถกเถียงกันเรื่องตึกเช่าที่ไปดูมาแล้ว ยังจะเหมาะไม่เหมาะแก่เรา คุณนพเป็นประธานในเรื่องนี้ด้วย ก็พอดีนายมั่นของเราวิ่งหน้าเริ่ดมาพบเราที่กุฏิคุณนพ

“วินาศเลย! วินาศเลย!” นายมั่นร้องแต่คำนี้ซ้ำๆกันตั้งแต่ยังไม่ได้นั่ง

“อะไรกันพ่อ?” คุณนพร้องถามและหัะวเราะ

“โฮ้ย วุ่นใหญ่ อ้ายภาพปั้นนั่นแหละ” นายมั่นตอบยกมือยกไม้ประกอบ

“อาละวาดอีกเรอะ” ครูพยุงถาม

“เห็นจะใช่ครับ จะเรียกว่าอย่างนั้นก็เห็นจะได้ แต่ผมไม่ได้ไปเห็นมาเองหรอก คุณนายมาหาผมเมื่อเช้านี้เอง มันเกิดวุนใหญ่แล้ว วุ่นอย่างไม่รู้จะแก้ยังไงเชียวให้ตายซิ เรื่องการย้ายภาพปั้นตัวเก่านั่นแหละ

“เมื่อผมนำภาพหล่อใหม่ไปให้แล้ว ผมก็หลบหน้าคุณนายบอกว่ารีบไปธุระหัวเมือง คุณนายแกร้อนใจอยากจะย้ายเอาภาพปั้นเก่าไปวัดเร็วๆ ก็ไปหาใครไม่รู้มาทำการอัญเชิญบอกเล่าเก้าสิบแก่ภาพนั้น”

“แล้วมอบให้พวกรับเหมาจีนทำการขนย้ายลงเรือ แหม! หนักเอาการอยู่ ทั้งแท่นและตัวภาพต้องใช้เจ๊กหามสี่คนยังแย่เลย พอหามไปถึงโป๊ะที่ท่าน้ำก็ทำกระดานพาดเพื่อจะเลื่อนภาพนั้นลงเรือต่อ แต่ยังไงไม่รู้ครับ เชือกที่ผูกเรือหลุด คลื่นเรือไฟกำลังยอโยนไปมา กระดานที่พาดก็เลื่อนผิดที่”

“ภาพปั้นนั้นเลยหล่นน้ำ มีเจ๊กเกาะติดไปด้วย จมน้ำไปตั้งนานโผล่ขึ้นมาได้แทบตาย พวกรับเหมาหน้าจ๋อยเลย ทำของเขาตกน้ำ”

เราทุกคนต่างตกใจดังว่าของสิ่งนั้นเป็นของเรา คุณนพอ้าปากค้างร้องไม่ออก ได้แต่ยกมืออย่างตระหนกตื่นเต้น อะไรเล่ามันถึงเป็นกันไปอย่างนั้น

“งมเจอหรือเปล่า?” คุณนพถามเสียงดัง

“ตรงนั้นน้ำลึกเป็นบ้าเลยครับ เรือไฟลำใหญ่ๆ ยังเคยจอดได้” นายมั่นร้อง

“ตายละวา” คุณนพร้อง

“ผมกับคุณนายไปตามประดาน้ำที่คลองบางกอกน้อยมางม เขาก็มากันสามคน ดำหากันตั้งครึ่งค่อนวันยังไม่พบเลยครับ ป่านนี้ยังงมหากันอยู่ ผมเลยหลบตัวมาบอกนี่แหละ”

“โอ ไม่ยอมจะจากที่เก่าไป” คุณนพว่า “เป็นคนหวงที่ จะคุมที่ดินอันเป็นของเก่าอยู่ใต้น้ำนั่นเอง แหม! น่ากลัวแฮะ นี่นายมั่นอย่าไปยุ่งกะเขาเลยนะ ท่าทางไม่เป็นเรื่องหรอก”

“นั่นน่ะซี” นายมั่นรับติดปากออกมาเลยตามที่เคยปาก “ผมจะแอบหลบอยู่วัดชั่วคราวละครับ ไม่ไหว ถ้าอยู่บ้าน แกตามมาพบทุกที”

“แต่เอ๊ะ คุณนายแกเคยรู้ว่านายมั่นมาหาฉันเสมอนา นายมั่นพลั้งปากพูดไปเมื่อตอนไปดูภาพปั้นกันวันนั้น” คุณนพพูดขึ้น นายมั่นตาโพลง

“เอ๊ะ เอาละซีจะทำไงล่ะ เอายังงี้เถอะ ถ้าแกตามมาหาพบคุณ คุณบอกว่าไม่เห็นมาก็แล้วกัน”

“อ้าว ทำไมจะให้พระโกหกเล่า” คุณนพว่า พวกเราหัวเราะ

“ไปอยู่บ้านครูพยุงก่อนซิ” คุณนพแนะ

“เออ จริงแฮะเอาก็เอา” นายมั่นรับเอาง่ายๆ

พวกเราถึงกับเงียบพูดอะไรไม่ออก รู้สึกใจเต้นระทึก ฟังเรื่องแล้วรู้สึกว่าบ้านนั้นจะมีอาถรรพ์ต่อไป ถ้าสร้างตึกเสียใหม่แล้วเอาภาพปั้นใหม่ขึ้นตั้งเสีย คงจะค่อยยังชั่วไปหน่อย ป่านนี้ภาพปั้นที่น่ากลัวนั้น มินอนลืมตาเฝ้าบ้านของตัวอยู่ใต้น้ำนั่นเอง เมื่อไรเล่าจะมีใครมาทำพิธีแก้อาถรรพ์ได้ ผมนึกในใจว่ามีใครมาจ้างผมให้ลงไปอาบน้ำตรงนั้น จะเป็นกี่แสบาทก็ไม่เอา…

 

“คุณสมัย คุณสมัย!” เสียงนี้มันคุ้นหูผมจริงๆ เสียงนายมั่นนั่นเอง ไม่ใช่ใครที่ไหนหรอก ผมรีบหันไปมองก็พบนายมั่นลุกจากเก้าอี้ขึ้นยืนกวักมือหยอยๆเรียกผม ผมก็หมุนตัวเข้าไปหาเพราะอยากพบอยู่แล้ว ไม่ได้ดื่มเหล้าด้วยกันมาหลายวันแล้ว นี่ก็เป็นเวลาเย็นพอดี

พอเข้าไปใกล้โต๊ะนั้น ก็เห็นมีชายอีกคนสองคนนั่งอยู่ด้วยก่อนแล้ว นายมั่นรีบแนะนำให้รู้จักกัน

“คุณสมัยครับ นี่คุณมุตและคุณเด๊ะ ประดาน้ำที่ผมให้แกช่วยงมภาพปั้นผีสิงนั้นแหละ” นายมั่นแนะนำผม

“ยินดีที่ได้รู้จัก” ผมพูดกับสองนายประดาน้ำ ฟังชื่อก็รู้ว่าเป็นไทยอิสลาม

“วันนี้บังเอิญมาพบกันเข้า เลยคุยกันเรื่องเก่านั้นอีก” นายมั่นว่า

“คุณสมัยลองฟังเรื่องภาพปั้นยุ่งยากนั้นด้วยหูคุณเอง จากคำบอกเล่าของคุณสองคนนี้ดูบ้างเถอะ มันพิลึกละ”

 

นายเด๊ะกับนายมุตได้ยินดังนั้นก็ยิ้ม แล้วยกแก้วเหล้าที่ยังค้างอยู่ดื่มรวดเดียวหมด ส่วนนายมั่นจัดการรินใส่แก้วผมพร้อมกับผสมโซดาให้เสร็จ

“แหมคุณเอ๋ย ผมเกิดมาก็เพิ่งเคยพบภาพปั้นร้ายแรงอย่างนี้” นายเด๊ะพูด

“จริงครับ ถ้ารู้ประวัติเสียแต่แรก ผมหารับจ้างไปงมไม่ ตอนที่คุณมั่นไปว่าจ้างผมน่ะ ไม่ได้เล่าเรื่องร้ายของภาพปั้นนี้ให้ฟังเลย บอกเพียงรูปปั้นตกน้ำเท่านั้น ผมก็รับงมให้ซิครับ แต่เอาเข้าจริงสิอัลเลาะห์” นายเด๊ะหยุดสูบบุหรี่

“คุณมั่นเพิ่งเล่าให้ฟังตะกี้นี้เองละครับ ว่ารูปปั้นนี่มีประวัติร้าบกาจ พวกผมลงไปพบพากันขนลุกเกรียวไปเลย”

“ผมก็เพิ่งรู้ความจริงวันนี้เหมือนกันครับคุณสมัย คุณสองคนเพิ่งเล่าให้ฟังว่าความจริงดำลงไปแล้วก็พบภาพนั้น แต่โผล่ขึ้นจากใต้น้ำกลับบอกกับนายจ้างว่า ดำหาเท่าไหร่ก็ไม่พบ” นายมั่งว่า

“อ้าว! เป็นยังงั้นหรือครับ เอ๊ะ พิลึก ผมชักสนใจ” ผมว่า..

“คุณทั้งสองพบรูปปั้นนั้นที่ใต้น้ำหรือครับ”

“เรารักกันถึงได้บอกความจริง ผมไม่บอกความจริงแก่นายจ้างก็เพราะไม่ไหวจริงๆ อัลเลาะห์! แย่จริงๆครับคุณ รูปปั้นนั่นไม่ใช่ธรรมดา เกิดท้องพ่อท้องแม่ไม่เคยพบ” นายมุตพูดโบกไม้โบกมือไปมา

“ใครจะบอกได้ว่าพบล่ะ อัลเลาะห์ พวกเรากลัวจริงๆครับ มันไม่ใช่รูปปั้นนีครับ มันผีแท้ๆ ยืนอยู่ใต้น้ำ” นายเด๊ะพูด

“ความจริงตกไปใต้น้ำ น่าจะนอนตะแคง แต่นี่ยืนจังก้าอยู่ใต้น้ำ พอเราเข้าไปใกล้เท่านั้น มันทำอ้าแขนจะตะครุบเรา นัยน์ตาสีแดงจ้า ใครล่ะใครจะเอา” นายเด๊ะพูดแล้วสั่นหัว

“โอ้โฮ! เอากันยังงั้นเชียวหรือ” ผมครางออกมาแล้วมองหน้าเขา

“พระอัลเลาะห์เป็นพยายนครับ มันเปแ็นยังงั้นจริงๆ ไม่ได้โป้ปดเลย” นายมุตพูดส่งเสริม

“พอผมสองคนโผล่ขึ้นน้ำมาเกาะเรือทุ่นของเรา ก็หารือกัน ถ้าบอกนายจ้างว่าพบ ก็จะต้องลงไปอีก ใครล่ะครับจะกล้าเข้าปเอาเชือกหรือลวดสลิงผูก ไม่ผูกมันก็กว้านขึ้นไม่ได้ ผมกลัวจริงๆครับ”

“เลยหารือกันว่าต้องโกหกว่าหาไม่พบ ให้ตายซิ เป็นประดาน้ำมานานปี ตะเข้ตะโขงไม่กลัวทั้งนั้น แต่นี่ไม่ไหว มันหนาวเหมือนจะเป็นไข้ ปรื๊อ พูดแล้วขนพอง ถึงจะได้ราคาดีอย่างไรก็ไม่ขอรับประทานแล้ว” พูดจบแล้วดื่มเหล้า

 

ผมฟังเขาเล่ารู้สึกตื่นเต้นไปกับเขา และเห็นใจเขาจริงๆ มันไม่ใช่บนบกจะได้มองเห็นคนโน้นบ้างคนนี้บ้าง นี่มันใต้น้ำก็ดูเปลี่ยวเปล่าอยู่ ภาพปั้นตัวนี้ไม่ใช่ธรรมดา เราก็รู้เรื่องร้ายของเขาอยู่ ถ้าเป็นรูปปั้นธรรมดาดีๆอย่างเขาอื่น จะต้องเสด็จไปอยู่ในน้ำทำไมกัน ด็เพราะวุ่นวายนักจึงต้องไปอยู่ใต้น้ำ แม่โว้ยตกลงไปยังไปยืนอยู่เสียอีกด้วย ซ้ำโตเท่าคนก็เลยมองเป็นคนเลย

 

ขณะนั้นเจ้าของร้านได้นำกุ้งเผาตัวงามๆ ปอกเปลือกแล้วหั่นเป็นคำๆ โรยพริกขี้หนูมา และมีมะนาววางมาข้างๆจาน มีใบสะระแหน่ใส่จานพิเศษมาด้วย ช่างถูกใจผมนัก เจ้ากุ้งนี้ถ้าพล่ายำมาทีเดียวไม่อร่อยเท่าอย่างนี้ บางทีชักจะปร่าปากสู้จิ้มกุ้งและกระเทียมใส่ปาก แล้วเอาสะระแหน่ตามหลังมันช่างอร่อยเหาะเลย จะเปรี้ยวจะเค็มเติมเอาเองมันถึงใจ พอกินกุ้งเผาเข้าไปก็เลยคุยกันถึงเรื่องกุ้งปลาใหม่ๆ สดๆ นายมั่นก็พูดขึ้นว่าถ้าจะกินกันให้ดีต้องไปบ้านเพื่อนเขาที่คลองรังสิต จะตกเบ็ดเองหรือจะซื้อจากเรือแหมากมายหลายปลาสดจริงๆ กำลังนี้ ก็น้ำเริ่มลดแล้วกำลังเกร่อทีเดียว ปิ้งเองทอดเองเอายังไงได้ทั้งนั้น

 

ผมฟังเขาพูดก็เห็นจริงน่าจะไป แต่เกรงจะไม่มีเวลาพอจะไปกินปลากินกุ้งที่นั่น อยากกินก็ซื้อเอาที่กรุงเทพฯนี่แหละ ผมไม่ได้สนับสนุนข้อเสนอของนายมั่น ก็เลยลากันไปในเรื่องจะไปกินปลาห่างบ้าน

แต่ยังไงไม่รู้อยู่ๆต้องออกจากกรุงเทพฯเสียจนได้ เพราะญาติของคุณนพที่อยู่ทางบางแสนได้เกิดตายขึ้น คุณนพชวนผมและนายมั่นไปด้วย นายมั่นไม่ขัดข้อง เพราะอยากพ้นบ้านของตัวเองอยู่แล้ว ด้วยเกรงคุณนายนิ่มนวลจะมารบกวนอีก เพราะได้ข่าวว่าทางบ้านคุณนายเกิดวุ่นวายอีก รูปปั้นใต้น้ำเกิดมาเข้าฝันอยากจะขึ้นบกขึ้นมาละ

เนื้อหาโดย: ตี๋ใส่หด
⚠ แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม 
CasanovA's profile


โพสท์โดย: CasanovA
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
หนูอายเพื่อน!! ลูกสาวถึงกับร้องไห้ หลังคุณพ่อสายแฟ (ชั่น) มารับที่โรงเรียน ถึงกับถาม “พ่อไม่มีชุดธรรมดาปกติกับเค้าบ้างเหรอ” 😆สาวพม่ารีวิว! ค่าใช้จ่ายในการมาเรียนที่ประเทศไทย?5 วิธีใช้แอร์ผิดๆ ที่ทำให้เปลืองไฟและแอร์พังเร็ว!5 ราศีที่มีพญาครุฑคุ้มครองiPhone รุ่นประหยัดมาแล้ว!"วงกลมลึกลับ" โผล่เหนือน้ำ..บางหลุมมีปลาอยู่ มันคืออะไรกันแน่ ?ชาวเน็ตท้าหนุ่มกินกาแฟทุกยี่ห้อ..ไม่น่าเชื่อเลยว่า เขาจะรับคำท้าคำทำนายวันสิ้นโลกจาก"นักวิทยาศาสตร์""เมร่อน" ทำให้ "ไอซ์ ปรีชญา" กลับมาสดใสอีกครั้ง..หลังผ่านมรสุมมานาน 9 ปี
Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
5 ราศีที่มีพญาครุฑคุ้มครองunpredictable: คาดการณ์ไม่ได้ ทายไม่ถูกครูไพบูลย์ เจ้าของฉายากงยูเมืองไทย โพสหยอดหวาน ลั่น "เมื่อไหร่จะได้ยกเอวเขาน้อ"หลอนทั้งอพาร์ทเมนต์! คนใช้น้ำแทบช็อก..หลังพบศwในแทงค์น้ำบนชั้นดาดฟ้า
กระทู้อื่นๆในบอร์ด ดูดวง เรื่องลึกลับ
5 ราศีที่มีพญาครุฑคุ้มครองคำทำนายวันสิ้นโลกจาก"นักวิทยาศาสตร์"3 ราศีที่มีความร้ายกาจ อย่างคาดไม่ถึง!ฮ่องกงหลอนกว่าที่คิด เมื่อยูทูปเบอร์สาวถ่ายรูปติดผี..งานนี้รอเปิดวงจรปิดพิสูจน์!
ตั้งกระทู้ใหม่