อยากรวยต้องทำไง!! เคล็ดลับสู่ความรวย ทางลัดสู่ความร่ำรวย เงิน ทอง
ทางลัดสู่ความสำเร็จ
อันลี่หวาง เป็นลูกชายของพ่อค้าที่มั่งคั่งในเมืองจีหนาน มณฑลซานตุง เพราะครอบครัวมีฐานะจึงได้รับการศึกษาที่ดีมาตั้งแต่เด็ก เมื่อมีความรู้มากทำให้ถือทิฐิว่าเป็นคนที่มีปัญญาเหนือใคร เมื่อเห็นว่าพ่อของตนที่ไม่ได้ร่ำเรียนหนังสือแต่ยังสามารถสร้างตัวจนมั่งคั่งได้ จึงเห็นว่าตนเองก็น่าจะทำได้เช่นกัน
คิดได้ดังนั้นอันลี่หวางก็ออกจากบ้านไปเริ่มต้นทำการค้าเล็กๆ เขาใช้ความรู้ที่มีบริหารร้านให้มีกำไร และสามารถขยายร้านจนใหญ่โตได้ในเวลาไม่นานนัก เมื่อร้านของอันลี่หวางใหญ่ขึ้น เขาจึงต้องจ้างคนงานเพิ่มขึ้น แต่ด้วยความที่ไม่ชำนาญในการดูแลลูกจ้างจำนวนมากจากที่ไม่เคยมีปัญหาร้านของเขาก็เริ่มมีปัญหา เดี๋ยวคนงานทะเลาะกันบ้าง เดี๋ยวถูกลูกจ้างขโมยของในร้านบ้าง ลูกจ้างหยุดงานบ่อยบ้าง
แม้ว่าเขาจะไม่สามารถจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นได้ แต่ด้วยกลัวคนอื่นมองว่าไร้ความสามารถ อันลี่หวางจึงพยายามแก้ปัญหาด้วยตนเอง แต่ยิ่งเมื่อเวลาผ่านไปแทนที่เขาจะแก้ปัญหาได้ ปัญหากลับยิ่งมีมากขึ้น ร้านของอันลี่หวางเริ่มทำกำไรได้น้อยลง และในระยะหลังๆ ก็เริ่มขาดทุน
เถ้าแก่อันพ่อของอันลี่หวางที่คอยดูความเคลื่อนไหวของลูกชายอยู่ห่างๆ จึงมาที่ร้านด้วยความเป็นห่วง ปัญหาของร้านเกิดจากการที่อันลี่หวางขาดความชำนาญในการดูแลลูกจ้าง ก็คิดที่จะให้คำชี้แนะเรื่องการปกครองลูกจ้าง แต่อันลี่หวางผู้เป็นลูกชายก็ปฏิเสธที่จะรับฟังคำชี้แนะ เพราะคิดว่าไม่ต่างอะไรจากการถูกดูหมิ่น
“ท่านพ่อ ท่านสร้างฐานะได้โดยที่ไม่เคยได้รับการศึกษา เมื่อท่านยังทำได้ ค่าที่ร่ำเรียนมาทั้งชีวิตย่อมต้องทำได้เช่นกัน และก็ต้องทำได้ดีกว่าท่านพ่อด้วย หากได้รับคำชี้แนะจากท่านพ่อ ถึงแม้ข้าจะแก้ปัญหาได้ แต่ข้าก็จะไม่มีความภูมิใจ”
เถ้าแก่อันเห็นว่าอันลี่หวางเป็นคนที่มีความทะนงตนสูง จึงไม่ฝืนที่จะให้คำชี้แนะ เพราะต้องการให้ได้รับบทเรียนด้วยตนเองว่าความทะนงตนไม่เคยสร้างผลดีให้แก่ใคร
เวลาผ่านไปร้านที่เคยรุ่งเรืองกับไม่เจริญก้าวหน้า ทำให้เริ่มมีเสียงนินทาว่าอันลี่หวางไร้ความสามารถ เพราะเป็นถึงลูกของเถ้าแก่อันแต่กลับไม่สามารถทำให้ร้านเจริญรุ่งเรืองได้ อันลี่หวางเริ่มเกิดความท้อถอย เพราะเริ่มมีเสียงนินทาได้ยินมาถึงหูของตน เถ้าแก่อันจึงเห็นว่าเป็นเวลาที่เหมาะสมแล้วที่ควรจะให้คำชี้แนะลูกชาย
“ร้านของเจ้าตอนนี้ดูจะแย่กว่าตอนที่พ่อมาเมื่อครั้งก่อนนะ”
“ท่านพ่อจะมาเยาะเย้ยข้าอย่างนั้นหรือ”
“เปล่า พ่อไม่ได้มาเยอะเลย แต่จะมาชี้แนะเท่านั้น”
“ตอนนี้ข้ารู้แล้วว่าตนเองไร้ความสามารถ เสียทีที่ร่ำเรียนมามาก ท่านพ่อโปรดชี้แนะด้วย”
“เปล่าเลย เจ้าไม่ได้ไร้ความสามารถ แต่เป็นเพราะเจ้าทะนงตนเองมากจนเกินไป เจ้าทะนงตนว่ามีปัญญาเหนือใคร จึงเห็นการขอคำชี้แนะเป็นสิ่งที่ทำให้ตนเองถูกดูถูก ผิดกับพ่อที่เห็นว่าการรับฟังคำชี้แนะจากผู้อื่น คือทางลัดสู่ความสำเร็จ”
“ทางลัดสู่ความสำเร็จ” อันลี่หวางทวนคำเถ้าแก่อันผู้เป็นพ่อด้วยความสงสัย
“เมื่อเจ้าเกิดปัญหา การที่คิดแก้ไขด้วยตนเองเป็นเรื่องที่ดีก็จริงอยู่ แต่การขอคำชี้แนะจากผู้ที่เคยประสบกับปัญหาเช่นเจ้ามาก่อนย่อมทำให้เจ้าแก้ปัญหาได้เร็วขึ้น ปัญหาก็จะไม่สะสมจนสร้างความเสียหายใหญ่โต ที่ผ่านมาเจ้าก็น่าจะได้รับบทเรียนแล้วไม่ใช่หรือ”
“แล้วมันจะไม่ทำให้ข้าถูกสบประมาทว่าเป็นคนไร้ความสามารถหรือท่านพ่อ ข้าคิดว่าการถามผู้อื่นจะทำให้เราเป็นผู้ตาม ไม่สามารถเป็นผู้นำได้”
“ไม่เลย เว้นเสียแต่ว่า เจ้านำคำชี้แนะมาแก้ไขโดยไม่ใช้ปัญญาของตนเองเข้าไปประกอบด้วย หากทำเช่นนั้นเจ้าก็จะเป็นผู้ที่ตามคนอื่นไปตลอด แต่ถ้าเจ้านำคำชี้แนะมาขัดเกลาด้วยปัญญาที่มีมากกว่าผู้อื่น เจ้าก็จะไม่ต่างอะไรกับเป็นเสือติดปีก ไม่เชื่อเจ้าก็ลองดู มันคงไม่ทำให้เจ้าเสียหายอะไรมากนักนะ”
“ถ้าเช่นนั้นลูกจะขอคำชี้แนะจากท่านพ่อ ก่อนอื่น ลูกอยากรู้ว่าเป็นเพราะอะไรร้านของลูกถึงไม่ก้าวหน้าเสียที”
“นั่นเป็นเพราะทิฐิของเจ้า ทำให้ไม่คิดพึ่งพาใคร เมื่อเกิดปัญหาจึงต้องใช้เวลาแก้ไขนานกว่าที่ควรจะเป็น ทำให้ปัญหาสร้างความเสียหายให้แก่เจ้ามากขึ้น และชักนำปัญหาอื่นๆ ให้ตามมาอีกมากมาย กลายเป็นว่าต้องคอยแก้ปัญหาอยู่ตลอดเวลา เมื่อต้องคอยแต่แก้ปัญหา แล้วจะเอาเวลาที่ไหนไปทำให้ร้านเจริญก้าวหน้า”
“เป็นอย่างที่ท่านพ่อกล่าว ตอนนี้ลูกรู้แล้วว่าการกลัวถูกสบประมาทจนไม่คิดที่จะรับคำชี้แนะจากใครเลย กลับยิ่งทำให้ดูเป็นคนไร้ความสามารถมากขึ้นไปอีก ต่อไปนี้ลูกจะเลิกทะนงตนว่ามีปัญญาและรู้จักขอคำชี้แนะจากผู้มีประสบการณ์มากกว่านี้ครับท่านพ่อ”
เคล็ดลับเศรษฐี
“จะทำการค้าให้เจริญรุ่งเรือง ต้องรู้จักฟังคำชี้แนะจากผู้ที่มีประสบการณ์” ไม่เฉพาะแต่เรื่องของการค้าขายเท่านั้นที่ทิฐิก่อให้เกิดปัญหา แต่รวมไปถึงทุกๆ เรื่อง
อย่างนิทานในข้างต้น เพราะอันลี่หวางคิดว่าตนเองมีความรู้มากกว่าผู้อื่น การขอความช่วยเหลือก็เท่ากับเป็นการยอมรับว่าคนอื่นมีปัญญาและความสามารถมากกว่าตนเอง จนไม่ยอมขอคำปรึกษาจากใคร จึงใช้เวลานานในการแก้ปัญหา แต่การทำการค้าไม่ใช่เรื่องง่าย มีการแข่งขันอยู่ตลอดเวลา ช้าเพียงเสี้ยววินาทีเดียวก็อาจจะทำให้พลาดโอกาสสำคัญในการทำกำไรได้เช่นกัน
ชาวจีนทำการค้าแบบคนใจกว้าง จะไม่ถือตนเองว่าเป็นคนฉลาด แม้จะมีความชำนาญหรือประสบการณ์มากแค่ไหน แต่ก็พร้อมที่จะรับฟังคำชี้แนะจากผู้อื่น อะไรที่ดีก็จะนำมาปรับปรุงกิจการของตนเองให้ดีขึ้น จึงเห็นได้ว่าคนจีนจึงทำการค้าได้ทุกรูปแบบ และมักจะไม่ทำการค้าเพียงชนิดเดียว แต่จะทำหลายๆ อย่างพร้อมกัน ซึ่งบางครั้งกิจการที่ทำแทบจะไม่มีความเกี่ยวข้องกันเลย เช่น เริ่มต้นสร้างตัวจากการค้าขายอาหาร แต่ไปเอาดีในเรื่องของเทคโนโลยีก็มีให้เห็นมากมาย