ผังเมืองถูกผูกขาดโดย อ.กลุ่มหนึ่ง
เห็นแนวคิดการทำผังเมืองใหม่ของ กทม. ของอาจารย์เจ้าประจำชุดเก่าแล้ว ผมบอกได้คำเดียวว่า "หมดหวัง" กับการวางแผนความเจริญที่แท้จริงของมหานครใหญ่ของโลกแห่งนี้ ผมว่าน่าจะจ้างนักผังเมืองสิงคโปร์มาวางจะดีกว่าไหม
ผังเมือง กทม. เริ่มใช้ปี 2556 เราก็รู้ว่า กทม. เติบโตไวมาก ควรปรับปรุงอย่างรวดเร็ว ควรมีผังเมืองใหม่มาตั้แต่ครบ 4 ปี คือในปี 2559-2560 แล้ว แต่นี่ก็ยังไม่มี และจะมีออกมาแบบดูพิกลพิการ เพราะทำโดยคณาจารย์ชุดเก่าๆ ที่ทำไม่เลิก เรามาช่วยกันวิพากษ์กัน
- ตามข่าวว่าสัดส่วนอาคารต่อที่ดินหรือ Floor Area Ratio (FAR) ได้มากกว่า 10 เท่า แต่จริง ๆ ได้แค่ 10เท่า ทั้งที่กรณีตึกวอลสตรีททาวเวอร์ที่สุรวงศ์ ก็เคยได้ถึง 20 เท่าต่อหนึ่ง ก็ไม่เห็นจะเป็นปัญหากับใครเลย ที่ญี่ปุ่นเขาให้สร้างได้ถึง 33 เท่าต่อหนึ่ง ทั้งที่มีแผ่นดินไหว มีท่อแก๊สอยู่ข้างใต้ ถนนก็แคบ กลับไม่รู้จักศึกษาให้ถ้วนถี่
- ที่บอกว่าให้สร้างตึกสูงได้เฉพาะรอบ 250 เมตร ระยะเท่านี้น้อยเกินไป ปกติระยะทางในการเดินก็ราว 500 เมตร การ "จำกัดจำเขี่ย" แสดงถึงความไม่เต็มใจที่จะให้สร้างสูงจริง
- รอบ ๆ สถานีรถไฟฟ้า เช่น รถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงค์ไปสนามบินสุวรรณภูมิ ควรจะมีการจัดรูปที่ดิน เวนคืนที่อยู่ห่างออกไป 2-5 กิโลเมตร แล้วให้สร้างเมืองใหม่ขึ้นมา แล้วจัดรถไฟฟ้ามวลเบา หรือรถประจำทางขนส่งคนเข้าเมือง ก็คิดไม่ได้ ได้แต่เป็นการวางผังเมืองไปตามความเติบโตของเมืองอย่างสะเปะสะปะ
- การซื้อขายสิทธิของเจ้าของที่ดินในพื้นที่อนุรักษ์ใจกลางเมืองที่ถูกห้ามสร้างสูงให้ขายให้กับบุคคลอื่นในพื้นที่อื่น เป็นการแก้ไขปัญหาอย่างปัดความรับผิดชอบสิ้นดีของทางราชการหรือไม่ ที่ดินใจกลางเมือง มีสาธารณูปโภคครบ ควรสร้างสูง สร้างรายได้ได้มาก แต่ทางราชการกลับห้ามด้วยเหตุผลต่าง ๆ นานา ถ้ารัฐจะห้ามจริง ก็ควรที่จะจ่ายค่าชดเชย ไม่ใช่ปัดสวะให้คนอื่น แถมยังจะกะเกณฑ์ราคาในการซื้อขายอีกต่างหาก ทำอย่างกับว่าไม่ต้องการให้มีการซื้อขายจริงดังโฆษณา
- ที่จะให้ปรับให้สร้างได้มากขึ้นตามแนวรถไฟฟ้า ก็ปรับเฉพาะบางสาย บางสายก็ไม่ปรับอ้าง (ส่งเดช) ว่ากลัวเมืองจะขยายไปไร้ขอบเขต แล้วจะสร้างรถไฟฟ้าไปทำไม (วะ) สร้างเสร็จกลับอ้าง "ชุ่ยๆ" ว่ากลัวเมืองจะขยายตัวออกไป จะสร้างไว้ "จุดธูป" แบบสายสีม่วงหรือไร
- การสร้างรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงค์ และสายสีแดง ที่ต่อไปอาจมี "หมอชิต" ไปอยู่ ก็จะกลายเป็นการขนส่งทั้งคนในตัวเมือง และคนเดินทาง ยิ่งทำให้สับสน ทุกวันนี้การเดินทางโดยรถไฟแอร์พอร์ตลิงค์ ก็เบียดเสียดแทบจะย่ำแย่อยู่แล้ว การเช็คอินที่มักกะสันก็ยกเลิกไปแล้ว ยิ่งทำยิ่งตกต่ำ ทำไงดี
คำถามเหล่านี้คือสิ่งที่ทางราชการพึงนำมาพิจารณา แต่ทางราชการหลายหน่วยงาน ก็อาจ "ปัดสวะ" กันไป น่าสงสารประเทศชาติ ผังเมืองรวมควรเป็นเสมือนแผนแม่บทในการพัฒนาสาธารณูปโภคและการใช้ที่ดินของทุกหน่วยงานในแต่ละพื้นที่ แต่ปรากฏว่ากลับไม่ได้รับความร่วมมือจากส่วนราชการอื่นเท่าที่ควร สิ่งที่กำหนดไว้ในผังเมืองจึงยังไม่ค่อยได้มีการดำเนินการกันอย่างจริงจัง เช่น ถนนตามผังเมืองรวมก็มักไม่ได้ดำเนินการให้แล้วเสร็จตามผังเมืองที่วางไว้ บางเส้นวางแนวไว้ในทั้งเมืองฉบับก่อนแต่ก็ยังไม่ได้ดำเนินการ ผมขอเสนอให้
- การกำหนด Floor Area Ratio (FAR) และ Open Space Ratio (OSR) ควรบังคับใช้ในย่านชานเมือง แต่ในเขตใจกลางเมืองซึ่งที่ดินมีราคาแพงไม่ควรมีการกำหนดหรือควรกำหนดขั้นต่ำที่สุดเพื่อให้การพัฒนาในเขตใจกลางเมืองมีความหนาแน่น (High Density) แต่ไม่แออัด (Overcrowdedness) จะสังเกตได้ว่าในพื้นที่ธุรกิจในมหานครชั้นนำไม่ได้มีข้อกำหนดนี้โดยเคร่งครัดจนกลายเป็นการกีดขวางการพัฒนาเมือง และทำให้เมืองขยายตัวในแนวราบอย่างไร้ทิศผิดทางเช่นใน กรุงเทพมหานคร
- ในกรณีอาคารอนุรักษ์ทางประวัติศาสตร์ กรุงเทพมหานครควรดำเนินการโดยเคร่งครัดเพื่อรักษารากฐานทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ แต่ควรดำเนินการในแนวคิดใหม่ที่ไม่ใช่ให้ "คนตายขายคนเป็น" กล่าวคืออาคารอนุรักษ์สามารถได้รับการดัดแปลงการใช้สอยได้ ย้ายไปสร้างที่ใหม่ได้ หรือสร้างอาคารสมัยใหม่คร่อมบนอาคารอนุรักษ์ได้เป็นต้น
- ในพื้นที่ใดที่มีการรอนสิทธิ์การพัฒนาที่ดิน ควรมีมาตรการจ่ายเงินทดแทนตามความเหมาะสมในราคาตลาดบวกด้วยค่าความเสียหายอื่น (ถ้ามี) ทางออกที่มีการนำเสนอให้สามารถขายสิทธิในการพัฒนาให้กับที่ดินแปลงอื่นเป็นสิ่งที่ไม่สมควรเพราะเป็นการ ผลักภาระให้กับประชาชนแต่ในขณะที่ทางราชการไม่ได้รับผิดชอบเยียวยา
- ควรมีการทบทวนกรณีห้ามก่อสร้างในพื้นที่รอบสวนสาธารณะ เช่น สวนหลวง ร.9 และสวนเบญจกิติ สวนสาธารณะเหล่านี้มีผู้มาใช้สอยน้อยมากในแต่ละวัน แต่หากสามารถสร้างอาคารสูงได้โดยรอบย่อมจะทำให้การก่อสร้างสวนสาธารณะคุ้มค่ากว่าที่เป็นอยู่นี้ การอนุญาตให้ก่อสร้างอาคารสูงๆ โดยรอบสวนหลวง ร.9 โดยสามารถกำหนดให้สามารถเก็บภาษีเพิ่มขึ้นจากการได้สิทธิ์เพิ่มขึ้นกว่าในผังเมืองฉบับปัจจุบัน ก็อาจได้เงินภาษีนี้มาเป็นงบประมาณการก่อสร้างรถไฟมวลเบาเชื่อมกับรถไฟฟ้าในปัจจุบันได้ และทำให้เมืองไม่ขยายออกไปกินพื้นที่เกษตรกรรมและชนบทชานเมือง
- ในพื้นที่ลาดกระบังและหนองจอกซึ่งกำหนดให้เป็นพื้นที่สีเขียวทแยงและพื้นที่สีเขียว ควรได้รับการแก้ไขใหม่ เพราะในปัจจุบันการใช้ที่ดินเพื่อการเกษตรกรรมจริงในเขตลาดกระบังเหลือเพียง 22% เท่านั้น และยังมีความจำเป็นในการขยายพื้นที่เป็นศูนย์ขนส่งระดับชาติรองรับสนามบินและท่าเรืออีกด้วย อย่างไรก็ตามในกรณีนี้เกี่ยวเนื่องกับสำนักและหน่วยราชการอื่นทั้งในและนอกกรุงเทพมหานคร แต่กรุงเทพมหานครควรเป็นผู้ประสาน ยิ่งกว่านั้นยังควรมีมาตรการด้านภาษีกล่าวคือพื้นที่ที่ได้สิทธิ์ในการก่อสร้างเพิ่มเติมตามผังเมืองใหม่ควรเสียภาษีเพิ่มขึ้นเพื่อนำมาพัฒนาระบบระบายน้ำในพื้นที่ฝั่งตะวันออก
- ข้อมูลที่ใช้ในการวางผังเมืองอาจไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง เช่นมีการนำเสนอโดยคณะที่ปรึกษาว่า ครัวเรือนในกรุงเทพมหานครถึงร้อยละ 60 ไม่สามารถซื้อบ้านในตลาดเปิดได้ และยังมีความขาดแคลนที่อยู่อาศัยในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ข้อมูลที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงนี้ย่อมนำไปสู่การวางผังเมืองที่ผิดเพี้ยนได้ จากการสำรวจข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติระบุชัดว่ารายได้ต่อครัวเรือนในเขตกรุงเทพมหานครเป็นเงินเดือนละ 42,000 บาท ซึ่งแสดงว่าราคาบ้านโดยเฉลี่ยที่ครัวเรือนเหล่านี้สามารถซื้อได้มีราคาประมาณ 3,500,000 บาท ไม่ใช่ 650,000 บาทตามที่ผู้เชี่ยวชาญนำเสนอ ขณะนี้ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลมีบ้านรอขายอยู่ 184,000 หน่วย ชุมชนแออัดก็ลดลงอย่างต่อเนื่อง จึงไม่มีภาวะขาดแคลนที่อยู่อาศัยแต่อย่างใด
อนึ่งสำหรับผู้เชี่ยวชาญที่เป็นผู้จัดทำผังเมืองรวมนี้ เป็นคณาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิที่พึงเคารพยิ่ง อย่างไรก็ตามท่านเหล่านี้ได้ดำเนินการจัดทำผังเมืองมาหลายผังแล้ว ซึ่งในแง่หนึ่งก็อาจทำให้เกิดความต่อเนื่อง แต่ในอีกแง่หนึ่งก็อาจเป็นแนวคิดตายตัวแบบเดิมๆ ดังนั้นจึงควรรับฟังความคิดเห็นจากภาคส่วนต่างๆเพื่อให้ผังเมืองมีนวัตกรรม