คุณเป็นคนอารมณ์ 2 ขั้ว (ไบโพลาร์) หรือไม่
คุณเป็นคนอารมณ์ 2 ขั้ว (ไบโพลาร์) หรือไม่ โดย ผศ. (พิเศษ) ดร. อภิสิทธิ์ ฉัตรทนานนท์
ใครๆในแต่ละวันจะมีทั้งอารมณ์ดีและไม่ดีกันได้ทั้งนั้น แต่ไม่ใช่เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย จนคนรอบข้างเดาอารมณ์ไม่ถูก ยิ่งถ้าเกิดขึ้นบ่อยๆ ควรต้องลองมาสำรวจตรวจสอบตัวเองดูกันหน่อยดีกว่าว่าเป็นโรคอารมณ์ 2 ขั้ว หรือ “ไบโพลาร์” ที่อารมณ์แปรปรวนอย่างสุดขั้ว ทั้งอาการทุกข์มากจนซึมเศร้าสลับอารมณ์ดีผิดปกติจนเหมือนเป็นคนละคน กระทั่งส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันและความสัมพันธ์กับคนรอบข้างหรือไม่
ข้อมูลจาก ผศ.นพ.สเปญ อุ่นอนงค์ จิตแพทย์ เปิดเผยว่า โรคไบโพลาร์สามารถพบได้ทั้งในผู้หญิงและผู้ชายในอัตราที่เท่ากัน โดยเกิดจากการทำงานที่ผิดปกติของสมองซึ่งมีสารสื่อประสาทที่ไม่สมดุล โดยมีสาเหตุร่วมจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายทอดทางพันธุกรรม เพราะหากมีพ่อแม่ หรือคนในครอบครัวเป็นโรคนี้มาก่อน ก็จะทำให้มีโอกาสเป็นโรคนี้ได้มากกว่าคนอื่น ตลอดจนความเครียดทั้งจากการทำงาน การเรียน ปัญหาครอบครัว หรือการประสบกับวิกฤตชีวิตรุนแรง เช่น ตกงาน สูญเสียคนรัก นอกจากนี้การติดยา หรือมีการใช้สารเสพติด รวมทั้งปัญหาบุคลิกภาพ ล้วนมีส่วนส่งผลให้มีโอกาสเกิดโรคไบโพลาร์ได้ทั้งหมด
รู้จักอาการในขั้วอารมณ์ที่แตกต่างกัน
ทั้งนี้ในคนปกติแม้บางครั้งอาจมีการขึ้นลงของอารมณ์มากบ้างน้อยบ้างแตกต่างกันไปตามลักษณะนิสัยได้เช่นกัน แต่ลักษณะดังกล่าวก็จะแตกต่างจากผู้ที่เป็นโรคไบโพลาร์ซึ่งมีอารมณ์และพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัดในลักษณะที่แตกต่างกันคนละขั้ว นั่นคือ อารมณ์ซึมเศร้า (Depression) นานต่อเนื่องกว่า 2 สัปดาห์ สลับกับช่วงอารมณ์ดีผิดปกติ (Mania) นานต่อเนื่องกว่า 1 สัปดาห์ โดยจะมีอาการสำคัญที่สังเกตได้ดังนี้
· อารมณ์ซึมเศร้า (Depression) ภาวะที่รู้สึกเบื่อหน่ายทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ร่าเริงหรือสนุกสนานเมื่อเทียบกับแต่ก่อน ไม่อยากทำอะไร ไม่มีเรี่ยวแรง กินไม่ได้ นอนไม่หลับ ขาดความมั่นใจในตัวเอง ป่วยบ่อย ท้อแท้กับชีวิต รู้สึกชีวิตมีปัญหา หงุดหงิดบ่อย ร้องไห้เป็นว่าเล่น รู้สึกคนอื่นทำอะไรก็ไม่ถูกใจ อยากโวยวาย ไม่ชอบให้ใครมาวุ่นวาย ไม่อยากออกสังคม เบื่อทุกอย่างแม้กระทั่งเรื่องกิน บางคนกินไม่ลง รู้สึกไม่สบายต่างๆ นานา รู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่า เป็นภาระคนอื่น มองโลกในแง่ร้าย ขาดสมาธิ หลงลืมง่าย ที่สำคัญที่สุดคือ “การคิดฆ่าตัวตาย” หรือ”ทำร้ายตนเอง” ผู้ป่วยจะมีอาการซึมเศร้าแบบนี้ติดต่อกันทุกวันไม่น้อยกว่า 2 สัปดาห์ โดยที่ส่วนใหญ่จะเป็นอยู่หลายๆ เดือน
· อารมณ์ดีผิดปกติ (Mania) ภาวะรื่นเริง คึกคะนอง หรือสนุกสุดชีวิต เชื่อมั่นในตนเองมากขึ้น รู้สึกว่าตนมีความสำคัญหรือมีความสามารถมาก มีเรี่ยวแรงเพิ่ม นอนน้อยกว่าปกติ โดยไม่มีอาการเพลีย พูดมาก พูดแทรกคนอื่นและไม่สนใจบทสนทนาของคนรอบข้าง เขามักเปลี่ยนหัวข้อสนทนาอยู่บ่อยๆ ทำให้เป็นเรื่องยากสำหรับคนรอบข้างที่จะเข้าใจว่าเขากำลังพูดถึงอะไรอยู่ เมื่อถูกขัดจังหวะจะฉุนเฉียวอย่างรุนแรง อาละวาดก้าวร้าว ผู้ที่มีอาการมักไม่ค่อยรู้ตัวว่ากำลังมีอาการผิดปกติ และรู้สึกสนุกกับทุกสิ่งรอบตัวมากขึ้นกว่าปกติ จนส่งผลให้มีความสัมพันธ์กับคนอื่นได้ง่าย หรือในบางกรณีก็นำไปสู่การตัดสนใจที่เร็วผิดปกติ เช่น ใช้จ่ายเงินฟุ่มเฟือย ทำเรื่องที่เสี่ยงอันตรายหรือผิดกฎหมาย หรือมีเพศสัมพันธ์ง่าย โดยขาดการไตร่ตรอง บางคนจะหงุดหงิดก้าวร้าวจนถึงทะเลาะหรือทำร้ายร่างกายผู้อื่น ในรายที่เป็นมากอาจมีอาการของโรคจิตร่วมด้วย ช่วงที่อารมณ์ดีผิดปกติในโรคไบโพลาร์นี้จะเป็นทุกวันติดต่อกันไม่น้อยกว่า 1 สัปดาห์ โดยที่ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะมีอาการนี้ติดต่อกันหลายๆ เดือน
อย่างไรก็ตามคุณสามารถสังเกตอาการของผู้ที่เป็นโรคไบโพลาร์ได้จากพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปเป็นคนละคน เช่น จากที่เคยเรียบร้อย กลายเป็นคนเข้าสังคมเก่ง แต่งตัวจัดจ้าน ขี้โมโห หรือจากที่เคยเป็นคนร่างเริง มนุษย์สัมพันธ์ดี กลายเป็นคนเก็บตัวเงียบ เหม่อลอย ซึมเศร้า เป็นต้น ซึ่งอาการเหล่านี้ถ้าสังเกตดีๆ ก็จะรู้ได้เลยว่าไม่ใช่ตัวตนของคนคนนั้นแน่นอน โดยผู้ป่วยจะเกิดภาวะใดก่อนก็ได้และจะเป็นภาวะเดิมติดต่อกันหลายๆ รอบ หรือสลับกับอีกภาวะหนึ่งก็ได้เช่นกัน
ทั้งนี้ไม่ว่าผู้ที่เป็นโรคนี้จะแสดงอาการในขั้วอารมณ์ใดก็ตาม ล้วนจำเป็นต้องได้รับการรักษาที่ต่อเนื่อง เพราะแม้ไบโพลาร์เป็นโรคที่สามารถรักษาให้หายและกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ แต่ก็สามารถกลับมาเป็นซ้ำได้ถ้าขาดยา การเอาใจใส่ติดตามดูแลอย่างเหมาะสมจากคนรอบข้างก็เป็นสิ่งจำเป็น เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยเข้าใจและยอมรับว่าตนนั้นป่วยและมีกำลังใจที่จะรับประทานยาให้สม่ำเสมอ
รับมือ..ไบโพลาร์
ผู้ที่เป็นโรคนี้จะแสดงอาการในขั้วอารมณ์ใดก็ตาม ล้วนจำเป็นต้องได้รับกำลังใจและความเข้าใจจากคนรอบข้าง และรับประทานยาอย่างต่อเนื่องเพื่อช่วยปรับการหลั่งสารเคมีในสมองให้สมดุล ขณะเดียวกันควรนอนหลับให้เพียงพอ อย่างน้อยก็วันละ 6-8 ชั่วโมง พยายามหาวิธีแก้ปัญหาและลดความเครียด และอย่าใช้ยากระตุ้นหรือสารมึนเมา เช่น เหล้า หรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนสูง ก็จะช่วยให้ผู้ป่วยมีอาการที่ดีขึ้นและสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างปกติเหมือนคนทั่วไป แต่อย่างไรก็ตามผู้ที่เป็นโรคนี้จะมีสภาวะจิตใจค่อนข้างเปราะบาง จึงอาจกลับมาเป็นซ้ำได้อีก ฉะนั้นหากตัวคุณเองหรือคนที่คุณรักรู้ตัวแต่เนิ่นๆ ว่ากำลังมีพฤติกรรมหรืออาการผิดปกติ ก็จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการรักษาได้ตรงจุดและป้องกันโรคกำเริบรุนแรง
เพียงเท่านี้ผู้ที่เป็นโรคไบโพลาร์ก็จะสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติอย่างมีความสุข
Author : ผศ. (พิเศษ) ดร. อภิสิทธิ์ ฉัตรทนานนท์ ประธานมูลนิธิคุณแม่คุณภาพ