ล้ำไปอีก! ชาวสวีเดนกว่า 3,000 คน เริ่มฝังไมโครชิปใต้ผิวหนัง ใช้แทนบัตรประชาชน ซื้อของ ขึ้นรถไฟ
ล้ำไปอีก! ชาวสวีเดนกว่า 3,000 คน เริ่มฝังไมโครชิปใต้ผิวหนัง ใช้แทนบัตรประชาชน ซื้อของ ขึ้นรถไฟ
ในขณะที่ประเทศไทย มีข่าวยกเลิกการใช้สำเนาบัตรประชาชน (ทั้งๆ ที่มีบัตรประชาชนฝังชิปมานานแล้ว) แต่อีกประเทศหนึ่งในยุโรป กลับล้ำหน้าไปกว่านั้น จากรายงานของสำนักข่าว AFP ที่ระบุว่า ปัจจุบันประชาชนชาวสวีเดน เริ่มทำการฝังไมโครชิปลงบนผิวหนังของตนเอง เพื่ออำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวัน ให้สะดวกสบายยิ่งขึ้น โดยการฝังชิปนี้ช่วยให้ไม่ต้องพกบัตรประชาชน ใช้สแกนแทนคีย์การ์ดในการเข้าทำงานในออฟฟิศ ซื้ออาหารจากตู้อัตโนมัติ เข้าฟิตเนส หรือแม้แต่ใช้แทนตั๋วรถไฟ
The microchip, the size of grains of rice functions as swipe cards: to open doors, operate printers, or buy smoothies ( EPA )
ปัจจุบันมีประชากรในสวีเดนเพียง 2% ที่ยังพกเงินสดติดตัว ขณะที่อีก 98% นั้นจ่ายผ่านบัตรเครดิตและสมาร์ทโฟนหมดแล้ว ซึ่งเทรนด์ของการใช้ร่างกายมนุษย์มาเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาเทคโนโลยี (Biohackng) โดยน่าสนใจไม่น้อยกว่าในอนาคตอุปกรณ์ไอทีพื้นฐานมากมายที่อาจถูกออกแบบมาเมื่อฝังลงในร่างกายของมนุษย์ และรายงานระบุเพิ่มว่า ในรอบ 3 ปีที่ผ่านมา มีชาวสวีเดนกว่า 3,000 คนที่ติดไมโครชิปแล้ว
A volunteer getting a chip implanted in his hand (EPA)
สำหรับการฝังชิปนั้น ได้รับการยืนยันว่ารู้สึกเจ็บเล็กน้อยระดับมดกัด ไม่ต่างจากการเจาะหู ซึ่งการฝังชิปแม้จะฝังไว้ที่ผิวหนังแต่ก็อยู่ในระดับชั้นที่ไม่ลึก ทำให้การอ่านค่าชิปรวมทั้งบันทึกข้อมูลจัดเก็บสามารถทำได้ง่ายและแม่นยำ ซึ่งส่วนสำคัญที่ทำให้คนสวีเดนหันมาใช้ไมโครชิปมากกว่าชาติอื่นๆ เนื่องจากระบบการจัดการด้านความปลอดภัยของข้อมูลในประเทศนั้นมีประสิทธิภาพระดับสูงสุดที่ผู้ใช้สามารถมั่นใจได้ว่าข้อมูลส่วนตัวจะเป็นความลับไม่รั่วไหลแน่นอน
แม้จะวิธีการฝังจะง่าย และใช้เวลาไม่นาน เพียงใช้ไซรินจ์เจาะลงไปที่ใต้ผิวหนังเหมือนกับฉีดยาก็เรียบร้อย อีกทั้งยังช่วยอำนวยความสะดวกในการใช้บริการต่างๆ แต่ก็ต้องยอมรับว่าไมโครชิปนั้นอาจนำมาสู่อันตรายหากการจัดเก็บข้อมูลยังไม่รัดกุมพอ อย่างไรก็ตาม แนวโน้มความนิยมในประเทศสวีเดนก็ยังคงเป็นไปในทิศทางที่ดี โดยปัจจัยส่วนหนึ่งที่คนไว้วางใจกับการฝังไมโครชิปนั้นก็คือ การเป็นประเทศขนาดเล็กและความเชื่อมั่นในกลุ่มผู้มีอำนาจของประเทศ