ผีกะ มีอยู่จริงหรือเป็นแค่ตำนานพื้นบ้านทางเหนือ
ผีกะ ถ้าให้พูดถึงก็คือผีประเภทนึงที่มีอยู่ทางภาคเหนือ ตามละครในเรื่องสาปดอกสร้อย เราเป็นคนเหนือและก็มีคนในหมู่บ้านเป็นผีกะอยู่ด้วย ผีกะไม่ใช่ลิง ไม่ใช่ค่าง แต่ผีกะเป็นหมาดำ คล้ายๆปอบของทางอีสาน
เรื่องผีกะ จะมีความเชื่ออยู่ว่าถ้าครอบครัวไหนเลี้ยงผีกะครอบครัวนั้นทั้งครอบครัวก็จะต้องสืบเชื้อเลี้ยงผีกะต่อไป ถ้ากินข้าว 100 หม้อด้วยกันขึ้นไปก็เป็นผีกะแล้ว (ความเชื่อแถวบ้านเรา) เวลาที่ใครทะเลาะกับคนที่เป็นผีกะ มันมักจะมาในความฝันในร่างหมาดำ จะเข้ามาทำร้ายหรือกัดเรา ถ้าเราชนะในความฝันแสดงว่ามันทำอะไรเราไม่ได้ แต่ถ้ามันชนะทำร้ายเราได้ เราก็จะล้มป่วยแบบไม่มีสาเหตุ ต้องไปปรึกษาหมอผี
มีคนเฒ่าคนแก่แถวบ้านบอกว่าถ้าอยากรู้ว่าใครเป็นผีกะ ให้สังเกตว่าจะมีนกเค้าแมวมาบินโฉบหรือจับใกล้ๆคนที่เป็นผีกะ แต่เราก็ไม่รู้ว่าทำไม ผีกะถ้าเป็นผู้หญิงกลางคืนจะสวยมีออร่ามากแต่ถ้ากลางวันก็จะปกติ คนในหมู่บ้านเราที่เป็นผีกะจะชอบใช้ชีวิตแบบแปลกแยก ชอบสันโดษ ไม่ค่อยยุ่งกับใครสักเท่าไหร่
เราเคยเจอกับตัวเองครั้งนึง ตอนนั้นอายุ 12 ปีไปเที่ยวกับพี่เขย ที่ต่างอำเภอเพราะเป็นบ้านของผีเขยเอง แกพาไปเก็บลำไยในสวนใกล้ๆ บ้าน เราจำได้ว่า ตอนนั้นเรายืนเก็บลำไยก็มีผู้ชายวัยกลางคนสวมเสื้อกล้ามสีขาว กางเกงขาสั้นเดินมาทักพี่เขยเรา ก็คุยกันได้สักพักก็แยกกันกลับบ้าน พอตกดึกเรานอนกับแม่ ตอนนั้นเวลาสักเที่ยงคืนกว่าๆ เราสะดุ้งตื่นเพราะว่าตกใจเสียงของแม่ที่นอนข้างเรา แม่เรานอนส่งเสียง ฮือ อึ! ฮือ หลายครั้งมากพร้อมกับหลับตาเหมือนคนนอนหลับแต่มือโบกไปโบกมาคล้ายกับเราไล่แมลงวัน เราก็สะกิดแม่แต่ไม่ไม่ยอมตื่นและยังส่งเสียงดังขึ้นอีก ตอนนั้นเราเริ่มกลัวเพราะคิดว่าแม่ต้องโดนผีอำแน่ๆ ในขณะที่เรากำลังจะลุกไปเรียกพี่สาวแม่ก็กรีดร้องขึ้นมาบอกว่า ไปเอาพระมาให้หน่อย!! พี่เราที่นอนห้องข้างๆ ได้ยินก็พากันเปิดไฟว่าเกิดอะไรขึ้นกับแม่ พอแม่มีสติแกก็เล่าให้ฟังว่ามีใครก็ไม่รู้มาขึ้นคร่อมบนตัวแม่ แล้วแม่ก็ดิ้นไม่ได้แต่แม่ก็เอามือไปถูกโดนแขนของมันแม่บอกว่าพอลูบไปที่แขนของมันนั้นมีแต่ขนเต็มไปหมดเหมือนหมาไม่มีผิด มันคร่อมแม่ แม่กลัว!!
คืนนั้นทั่งคืนเรากับแม่พากันนอนไม่หลับเพราะว่ากลัว และไม่รู้มันคือตัวอะไร พอรุ่งเช้าแม่ก็เล่าให้พี่สาวพี่เขยฟัง ทุกคนฟันธงว่าสิ่งที่แม่เจอคือ ผีกะ และที่น่ากลัวคือมันแฝงมากับตัวเรา ซึ่งเราก็งงว่ามันมากับเราได้ยังไง พี่เขยก็อธิบายว่าคนที่เข้ามาทักเราตอนเก็บลำไยนั้นเค้าคือผีกะ และเราก็จำได้เลยว่ามีอยู่ช่วงนึงที่เค้าคุยกับพี่เขยเราแต่สายตาของเข้ากับจ้องที่เราแทน นั่นคงเป็นเหตุผลที่มันแฝงเรามา แต่เราไม่เคยเจอผีกะที่แอบกินตับไตใส้พุงเลยน่ะ ในหมู่บ้านก็ไม่เคยเจอเหตุแบบนี้ด้วย
ผีกะ ผีพวกนี้จะมีลักษณะคล้ายผีปอบ คือเข้าสิงในคน และชอบกินของสดของคาว
คนที่เลี้ยงผีกะ เป็นคนที่มีวิชาอาคม เล่นคุณเล่นของ ผีกะจะถูกเลี้ยงไว้ในหม้อดิน โดยมีผ้ายันต์สีขาวปิดปากหม้อไว้ โดยจะวางไว้บนเพดานบ้าน เจ้าของจะเซ่นผีกะด้วยไข่ดิบวันละฟอง
ผีกะ แต่เดิมคนที่เริ่มนำมาเผยแพร่ คือพวกลิเก หรือพวกนักดนตรี ที่แสดงการละเล่น เรียกว่าผีกะพระ-นาง ผีกะชนิดนี้มีลักษณะคล้ายวอกหรือค่าง ตัวเล็กๆสองตัว มักจะนั่งบนบ่าคนเลี้ยง ผีกะชนิดนี้มีคุณประโยชน์ตรงที่ หากใครเลี้ยงไว้ไม่ว่านักแสดงจะขี้เหร่แค่ไหน พอตกกลางคืนมันจะเลียหน้า ทำให้ยิ่งดึกยิ่งงดงาม การเลี้ยงผีกะจึงเป็นแฟชั่นของนักแสดงทางภาคเหนือในช่วงหนึ่งและเริ่มแพร่หลายสู่ภาคเหนือในจังหวัดต่างๆ จนกระทั่งแยกเป็นหลายชนิด ผีกะมีคุณอนันต์แต่ก็มีโทษมหันต์ หากใครเลี้ยงไม่ดี ปล่อยให้ผีกะอดๆอยากๆ มันก็จะทำให้เจ้าของกลายสภาพเป็นกึ่งคนกึ่งภูติ ชอบสิงสู่ชาวบ้านกินตับไตไส้พุง ต้องหาหมอผีมาไล่ออกไปเป็นประจำ
ลักษณะ : เป็นวิญญาณที่คนนำมาเลี้ยงไว้ในหม้อ ห่อด้วยผ้าขาว และจะถูกส่งตกถอดมาสู่ลูกหลานเสมือนเป็นมรดกชิ้นหนึ่ง แต่ถ้าไม่มีลูกหลานคนใดเหลือให้สืบทอดแล้ว จะเก็บเอาสิ่งของ แก้ว แหวน เงิน ทอง ของมีค่า ฝังไว้ใต้ดินบริเวณบ้าน ถ้ามีผู้ใดขุดพบ แล้วนำไปเป็นของตนเอง คนนั้นก็จะต้องเป็นเจ้าของผีกะคนต่อไป ผีกะ จะมีนิสัยอาฆาตแค้นคนที่ทำให้มันอับอาย ถ้าคนๆนั้นดวงตกเมื่อไร มันก็จะกลับไปแก้แค้นทันที
อาหาร : ผีกะชอบกินของสด ของคาว ทั้งของคนและสัตว์
ธรรมเนียมการให้เครื่องเซ่นผีกะมีอยู่ว่า ผู้ชายไม่ต้องทำอะไรมาก แค่เซ่นไข่ดิบคนละฟองเท่านั้น แต่ผู้หญิงจะต้องเซ่นผีกะด้วยเนื้อสัตว์ดิบๆ และถ้าแม่จะตายก็ต้องสั่งเสียให้ลูกสาวทำต่อ ตกทอดกันไปรุ่นสู่รุ่น ถ้าแม่บ้านบ้านไหนเลี้ยงไม่ดีผีกะจะเข้าสิงคนเลี้ยง จากนั้นก็จะแพร่พันธุ์ให้คนในบ้านต่อๆ ไปจนกลายเป็นผีกะกันทั้งบ้าน หลังจากนั้นเชื้อสายของผีกะจะตกทอดไปแบบทายาทอสูร คือลูกสาวคนสุดท้องจะต้องเป็นผีกะต่อจากมารดาไปเรื่อยๆ จนกว่าจะบ้านนั้นจะสิ้นลูกสิ้นหลาน แต่ถ้าครอบครัวนั้นไม่อยากรับสืบทอดการเป็นผีกะแล้วก็ให้เอาน้ำลายของคนที่เป็นผีกะไปป้ายที่ปากแมวโพง เจ้าเหมียวตัวนั้นก็จะรับการถ่ายทอดเป็นผีกะแทน
ชาวเหนือเชื่อกันว่าผู้หญิงที่เป็นผีกะจะมีเสน่ห์มาก ทำให้ผู้ชายหัวทิ่มหัวตำกันเป็นทิวแถว ถ้าสาวคนไหนมีหนุ่มมารุมจีบเยอะผู้ชายจึงต้องทดสอบว่าเธอเป็นผีกะหรือเปล่า ด้วยการใช้ "ตองกล้วยงำเครือ" (ใบตองใบสุดท้ายที่ปกเครือกล้วย) มาลงคาถาปลุกเสก จากนั้นก็เจาะใบกล้วยเป็นรูแล้วมองหญิงสาวผ่านใบกล้วยไป ถ้าเธอเป็นผีกะ จะเห็นแมวหรอตัววอกตัวเล็กๆ 2 ตัวเกาะอยู่บนบ่าผู้หญิงคนนั้น ช่วยกันแลบลิ้นเลียใบหน้าเธอให้สวยงามมีออร่ามหาละลวยอยู่ตลอดเวลา
วิธีการปราบผีกะที่เข้าสิงร่างคน เท่าที่รู้มามีอยู่2 วิธี คือ
1. ผู้มีคาถาอาคม จะขู่ ให้ผีกะบอกชื่อ จะถามสาเหตุที่มาทำร้ายคน และไล่ให้ออกจากร่างไป ถ้าผีกะไม่ยอมออกจากร่าง ผู้ที่มีคาถาอาคม จะใช้กะลามะพร้าว หรือหม้อแกง สวมศีรษะคนที่ถูกเข้าสิง แล้วท่องคาถา เอามีดขูดกะลามะพร้าว หรือหม้อแกง เมื่อผีกะออกไปแล้ว รุ่งเช้า ผมคนที่เป็นเจ้าของผีกะก็จะร่วงตามมีดที่ผู้มีคาถานั้นขูดกะลามะพร้าว หรือหม้อแกงไว้ ฉะนั้นชาวบ้านก็จะรู้ได้เลยว่าคนที่ผมร่วงนั้นเป็นเจ้าของผีกะจริงๆ
2. ถ้าผีกะไม่ยอมออกจากร่าง ผู้ที่มีคาถาอาคมเป่าพริกแห้งที่ตำแล้ว ใส่ตาคนที่ถูกผีกะเข้าสิง เมื่อผีกะออกจากร่างแล้ว รุ่งเช้า คนที่เป็นเจ้าของผีกะนั้นก็จะตาแดง จนไม่กล้าออกไปข้างนอกบ้าน
หลังจากนั้นผู้ที่มีคาถาอาคม จะต้องป้องกันตัวเอง และลูกหลาน โดยจะใช้คาถา ต่อ7 ตัว มัดคอลูกหลานไว้ เพื่อที่จะไม่ให้ผีกะทำอันตรายไม่ได้