ใคร? อยู่เบื้องหลังเรียกร้องคลุมฮิญาบ รร.อนุบาลปัตตานี
"แบมะ ฟาตอนี"
ไม่น่าเชื่อว่าแค่น้ำผึ้งหยดเดียว กลุ่มชาวไทยพุทธกว่า 500 คน ตั้งโต๊ะแถลงคัดค้านไม่เห็นด้วยกับ นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) และ ผอ.เขตพื้นที่การศึกษาปัตตานีที่แก้ไขระเบียบของโรงเรียนอนุบาลปัตตานีที่มีมากว่า 50 ปี อนุญาตให้นักเรียนมุสลิมทั้งชายและหญิงของโรงเรียนอนุบาลปัตตานี แต่งกายตามหลักศาสนาได้คือ ผู้หญิงคลุมฮิญาบและผู้ชายสวมกางเกงขายาว กลุ่มชาวไทยพุทธย้ำชัดเด็กนักเรียนไทยพุทธ - มุสลิมที่เรียนร่วมกันมา 50 ปีไม่มีปัญหา แต่คำสั่งดังกล่าวกลับก่อให้เกิดความแตกแยกและแตกต่างในพื้นที่
หากจะมองผิวเผินเหมือนจะไม่มีอะไร เป็นเรื่องปกติของการเรียกร้องที่ต้นเหตุมาจากผู้ปกครอง 4 รายของนักเรียนหญิงชั้น ป.1/1 ต้องการให้บุตรหลานคลุมฮิยาบ ซึ่งได้เรียกร้องมาตั้งแต่เริ่มต้น แต่ที่ไม่ปกติและ ผิดสังเกตเมื่อมีกลุ่มบางกลุ่มฉกฉวยโอกาสในการเดินหน้าเรียกร้องยืมมือพี่น้องมุสลิมชาวสุหนี่ใน จชต.สร้างความแตกแยกกับชนต่างศาสนิก โดยกลุ่มมุสลิมเพื่อสันติได้เคลื่อนไหวเรียกร้องให้นักเรียนหญิง โรงเรียนอนุบาลปัตตานีคลุมฮิยาบ เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2561 อีกทั้งมีการผสมโรงปลุกกระแสในสื่อโซเชียลของกลุ่มมุสลิมหัวรุนแรงในการเติมเชื้อไฟแห่งความขัดแย้ง
“กลุ่มมุสลิมเพื่อสันติ”เป็นใคร? มาจากไหน? เมื่อทำการสืบสาวข้อมูลเชิงลึกกลับพบว่า“กลุ่มมุสลิมเพื่อสันติ” เป็น “มุสลิมสายวาฮาบีห์” ในขณะที่มุสลิมส่วนใหญ่พื้นที่ จชต.เป็นสุหนี่.. แล้วทำไม? วาฮาบีห์ จึงเคลื่อนไหวทำการเรียกร้องแทนพี่น้องมุสลิมสุหนี่ในพื้นที่ โดยเฉพาะนายฮานีฟ หยงสตาร์ เลขาธิการมูลนิธิมุสลิมเพื่อสันติ ซึ่งเป็นแกนนำสายวาฮาบีห์ ที่ออกหน้าแทนในการเคลื่อนไหวครั้งนี้ โดยใช้ฐานในวิทยาลัยอิสลาม ซึ่งตั้งอยู่ใน มอ.ปัตตานีเป็นที่ประชุมวางแผนการเรียกร้องต่อรัฐ
ประเด็นที่แปลกใจ คือ ทำไม? มุสลิมสายสุหนี่ใน จชต. จึงยินยอมให้มุสลิมนิกายวาฮาบีห์ชี้นำสร้างความแตกแยกในพื้นที่ เพราะพฤติกรรมในการเคลื่อนไหวของมูลนิธิมุสลิมเพื่อสันติที่ผ่านมา มุ่งสร้างความแตกแยกระหว่างสังคมพหุวัฒนธรรมของคนต่างศาสนิกในหลายพื้นที่ ไม่เฉพาะเจาะจงในพื้นที่ จชต.เท่านั้น หากจะเรียกมุสลิมนิกายวาฮาบีห์ว่าเป็น “มุสลิมสุดโต่ง” ก็คงไม่ผิด เพราะมุสลิมกลุ่มนี้ต้องการสร้าง“สังคมเชิงเดี่ยว” หรือให้เกิดปรากฎการณ์“โลกมุสลิม” และมีรูปแบบทางความคิดเดียวกับกลุ่มก่อการร้าย IS ที่ต้องการสร้างอาณาจักรมุสลิมให้ครองโลก ( Khilafah – Islamic State)
หากย้อนไปดู “มูลนิธิมุสลิมเพื่อสันติ” มาเกี่ยวข้องอย่างไรในพื้นที่ จชต.พบว่าเมื่อวันที่ 30 มกราคม 2559 มูลนิธิมุสลิมเพื่อสันติได้ทำการเปิดตัวศูนย์ประสานงาน 3 จชต. ที่โรงแรมซีเอสปัตตานี โดยสำนักงานตั้งอยู่ในวิทยาลัยอิสลาม มอ.ปัตตานี โดยมีอดีต สว.ปัตตานี ซึ่งเป็น 1 ในแกนนำวาฮาบีห์ใน จชต. ให้การสนับสนุนและหนุนหลัง เช่นเดียวกับการใช้โลโก้ของมูลนิธิมุสลิมเพื่อสันติรวมเข้ากับ “ว่าวบูลัน” ที่เปรียบเสมือนว่าวบูลันที่ทะยานขึ้นสู่ฟ้าเพื่อแสดงให้เห็นว่า “ชีวิตของมุสลิมทุกคนในพื้นที่ชายแดนใต้ มีความอิสระแต่อยู่ภายใต้หลักการที่เข้มแข็ง” และว่าวบูลันจะสามารถส่งเสียงดัง“เปรียบเสมือนทุกคนที่จะต้องร่วมกันขับขานเสียงแห่งอิสรภาพ เสรีภาพ ให้ปรากฏขึ้นในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ให้จงได้”
การจุดประเด็นเรื่องคลุมฮิญาบที่เกิดขึ้นกับโรงเรียนอนุบาลปัตตานี ไม่ใช่ปรากฏการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นครั้งแรก และเกิดขึ้นเฉพาะในพื้นที่ จชต. หรือภูมิภาคอื่นของไทยแต่เพียงเท่านั้น แต่ได้เกิดขึ้นในหลายประเทศของกลุ่มมุสลิมที่นิยมแนวทางวาฮาบีห์ ทั้งในประเทศฝรั่งเศส เบลเยี่ยม อังกฤษ ออสเตรเลีย มาเลเซีย และสวิสเซอร์แลนด์ ซึ่งก็ถูกต่อต้านจากรัฐบาลประเทศที่กล่าวมาข้างต้น อาทิ เมื่อเดือนมีนาคม 2561 นายกรัฐมนตรีออสเตรเลียได้ประกาศให้ชาวมุสลิมในประเทศต้องเคารพกฎหมายของออสเตรเลียในการควบคุมผู้นับถือศาสนาอิสลาม หรือการที่รัฐบาลมาเลเซียประกาศให้ชาวมาเลเซียที่นับถือนิกายวาฮาบีห์ เป็นผู้กระทำผิดตามกฎหมายความมั่นคงของประเทศ (ISA) เช่นเดียวกับกลุ่มผู้นิยมศรัทธาแนวทางของกลุ่ม IS
การเรียกร้องให้โรงเรียนอนุญาตคลุมฮิญาบของ “มูลนิธิมุสลิมเพื่อสันติ” ซึ่งเป็น“มุสลิมสายวาฮาบีห์” ในห้วงที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันพบว่าเกิดขึ้นในหลายพื้นที่ เช่น เมื่อเดือนมีนาคม 2553 มูลนิธิมุสลิมเพื่อสันติ ได้แจ้งความต่อผู้บริหารโรงเรียนวัดหนองจอก กทม. เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2559 เรียกร้องให้นักเรียนหญิง โรงเรียนเจริญศึกษา อ.ระแงะ จ.นราธิวาส คุลมฮิญาบวันที่ 3 กรกฎาคม 2560 ยื่นหนังสือเรียกร้องให้นักเรียนหญิงโรงเรียนบ้านบางกะปิ กทม.คลุมฮิญาบวันที่ 5 กรกฎาคม 2560 เรียกร้องให้นักเรียนหญิง โรงเรียนชุมชนบ้านทุ่ง จ.กระบี่ คลุมฮิญาบวันที่ 24 มีนาคม 2561เรียกร้องกรณีเดียวกันที่โรงเรียนเมืองถลาง จ.ภูเก็ต และล่าสุดเมื่อวันที่ 4 เมษายนที่ผ่านมาเกิดขึ้นในโรงเรียนอนุบาลปัตตานี เรียกร้องให้นักเรียนหญิงคลุมฮิญาบจนนำมาสู่ประเด็นความขัดแย้งดังกล่าว
ในเมื่อเรารู้ว่า “กลุ่มมุสลิมเพื่อสันติ” ซึ่งเป็น “กลุ่มวาฮาบีห์” มีพฤติกรรมเป็นกลุ่มมุสลิมสุดโต่ง ที่ต้องการสร้างสังคมเชิงเดี่ยวหรือให้เกิดปรากฎการณ์ “โลกมุสลิม” และมีรูปแบบทางความคิดเดียวกันกับกลุ่ม IS ในหลายๆ ประเทศไม่ยอมรับไม่ว่าจะเป็น ฝรั่งเศส เบลเยี่ยม อังกฤษ ออสเตรเลีย สวิสเซอร์แลนด์ ทำการต่อต้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศมาเลเซีย ถึงกับประกาศให้ชาวมาเลเซียที่นับถือนิกายวาฮาบีห์ ถือเป็นผู้กระทำผิดตามกฎหมายความมั่นคงของประเทศ (ISA) แต่ในพื้นที่ จชต.ของเรากลุ่มวาฮาบีห์ กลับยืมมือผู้ปกครองนักเรียนโรงเรียนอนุบาลปัตตานีซึ่งเป็นมุสลิมชาวสุหนี่ 3 - 4 คน ในการพยายามสร้างสถานการณ์ขึ้นในโรงเรียนอนุบาลปัตตานี เราจะยอมได้หรือ!! และคุ้มค่าหรือไม่กับความแตกแยก ความแตกต่างที่เกิดขึ้นกับชนต่างศาสนิก ในการทำลายสังคมพหุวัฒนธรรม โดยเฉพาะต่อชาวไทยพุทธในจังหวัดปัตตานี ผลที่ได้อาจจะ ไม่คุ้มเสีย หากเรายอมให้วาฮาบีห์ชี้นิ้วสั่ง ไม่แน่!! สักวันกลุ่มวาฮาบีห์ อาจจะครอบงำทางความคิดและรุกคืบสร้างอิทธิพลขึ้นในพื้นที่ จชต.ใครจะไปรู้...
------------------