กระบวนการยุติธรรมที่ไม่เลือกข้าง…
เรื่องและภาพโดย“ลมใต้ สายบุรี”ข้อมูลทั้งหมดที่ทำการเผยแพร่จาก www.southernreports.org
“กระบวนการยุติธรรมที่ไม่เลือกข้าง” ผู้ที่กระทำความผิดย่อมถูกลงโทษตามกฎหมาย ส่วนผู้ที่ทำผิดแล้วยอมรับผิด ผู้นั้นสมควรที่จะได้รับการยกย่อง ให้โอกาสกลับเนื้อกลับตนเป็นคนดีของสังคม หันหลังให้กับขบวนการ
กระบวนการพิจารณาคดีความของศาลสถิตยุติธรรม ซึ่งเป็นสถาบันหนึ่งที่องค์กรอื่นๆ ไม่สามารถแทรกแซงได้ ผิดถูกว่ากันไปตามพยานหลักฐาน ที่สำคัญตาชั่งไม่เอนเอียงเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เป็นที่พึ่งของพี่น้องประชาชน การพิจาณาคดี มีความถูกต้อง เที่ยงตรง และเสมอภาค โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการแก้ปัญหา ที่ผ่านมาหลายคดีได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ศาลยุติธรรมได้พิจารณาตัดสินคดีด้วยความรอบคอบเป็นธรรม จะเห็นได้ว่าหากสำนวนในชั้นสอบสวนอ่อน หรือขาดพยานและหลักฐานที่ไม่แน่นหนาพอ ศาลจะพิจารณายกฟ้องให้เป็นผลประโยชน์ต่อจำเลย
หากย้อนไปเมื่อวันที่ 3 กันยายน 2558 กรณีศาลจังหวัดปัตตานีได้นั่งบัลลังก์พิจารณาพิพากษาคดีความมั่นคง ตามเลขคดีแดง เลขที่ อ.3172/57 และตัดสินให้ “ยกฟ้อง” นายอายมาน เจ๊ะหลง สืบเนื่องมาจากเหตุคนร้ายทำการลอบวางระเบิดเจ้าหน้าที่ทหาร หน่วยเฉพาะกิจยะลา 16 ขณะเดินทางด้วยรถยนต์บรรทุก ขนาด 2 ตันครึ่ง เพื่อสับเปลี่ยนกำลัง เหตุการณ์ในครั้งนั้นส่งผลให้เจ้าหน้าที่ทหารเสียชีวิต 1 นาย และได้รับบาดเจ็บ 16 นายด้วยกัน เหตุเกิดบนถนนสาย 418 ซึ่งอยู่ในพื้นที่อำเภอแม่ลาน จังหวัดปัตตานี เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2553
สำหรับสาเหตุที่ นายอายมาน เจ๊ะหลง ตกเป็นผู้ต้องสงสัยและถูกออกหมายจับ ป.วิอาญา ในเวลาต่อมา สืบเนื่องมาจากผลการตรวจสารพันธุกรรม พบว่า DNA นายอายมานฯ ตรงกับ DNA เทปกาวพันสายไฟ ซึ่งเป็นชิ้นส่วนของระเบิดแสวงเครื่องที่ติดตั้งภายในรถจักรยานยนต์พ่วงข้าง ซึ่งตกอยู่ในสถานที่เกิดเหตุ
เมื่อตรวจสอบประวัติของ นายอายมานฯ พบว่าเป็นสมาชิกผู้ก่อเหตุรุนแรงระดับปฏิบัติการ และยังเป็น Logistik รับผิดชอบในพื้นที่อำเภอบาเจาะ จังหวัดนราธิวาส ซึ่งเคยถูกเจ้าหน้าที่ควบคุมตัวตามหมาย พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2553 ส่งตัวดำเนินกรรมวิธีซักถาม ณ ศูนย์เสริมสร้างความสมานฉันท์ ผลการซักถามในครั้งนั้น นายอายมานฯ ยอมรับว่าเป็นผู้ก่อเหตุรุนแรงระดับ“ฆือโล”หรือ“คอลอรอ” เคยผ่านการฝึกร่างกายขั้นพื้นฐาน และยังทำหน้าที่เก็บชิ้นส่วนที่ใช้ในการประกอบระเบิดแสวงเครื่อง เช่น กล่องเหล็กสำเร็จรูป
ภาพประกอบบทความ
นายอายมานฯ ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่เป็นอย่างดี นำไปชี้จุดที่ตนเองพร้อมพวกร่วมกันขุดเจาะถนน เพื่อเตรียมการสำหรับก่อเหตุลอบวางระเบิดเจ้าหน้าที่ทหาร บริเวณริมถนนพื้นที่บ้านชูโว ตำบลบาเร๊ะใต้ อำเภอบาเจาะ จังหวัดนราธิวาส และได้รับการปล่อยตัวเป็นอิสระในเวลาต่อมา แต่การที่ นายอายมานฯ ถูกออกหมายจับ ป.วิอาญา รอบใหม่ เมื่อ 23 มิถุนายน 2557 จึงได้ติดต่อเข้ารายงานตัวกับเจ้าหน้าที่ทหาร หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 22 โดยมีความประสงค์ขอเข้าร่วมโครงการพาคนกลับบ้าน เจ้าหน้าที่ได้กลั่นกรองเบื้องต้นแล้วส่งตัวดำเนินคดี และได้รับการประกันตัวในเวลาต่อมา ในวงเงิน 24,770 บาท ภายในวันเดียวกัน
ระยะเวลาในการพิสูจน์ความจริงในชั้นศาลใช้เวลา 2 เดือน 10 วัน กระบวนการต่างๆ ได้ดำเนินการตั้งแต่ชั้นพนักงานสอบสวน รวบรวมวัตถุพยานหลักฐาน ส่งตัวฟ้องศาลพิจารณาคดี และเมื่อวันที่ 3 กันยายน 2558 ศาลจังหวัดปัตตานีได้พิจารณาตัดสิน “ยกฟ้อง” นายอายมาน เจ๊ะหลง สาเหตุสืบเนื่องมาจาก ทนายโจทย์ ไม่สามารถแจ้งถึงความสัมพันธ์ของเทปพันสายไฟ ซึ่งพบว่า DNA Matching มีความสัมพันธ์กับระเบิดแสวงเครื่อง และให้ประกันตัวได้ในระหว่างการอุทธรณ์
นายอายมาน เจ๊ะหลง เป็นอีกผู้หนึ่งที่มีความกล้าที่จะยอมรับความจริง เมื่อผิดแล้วยอมรับผิด และเคยยอมรับว่าเป็นผู้ก่อเหตุรุนแรง เมื่อถูกออกหมายจับ ป.วิอาญา นายอายมานฯ ไม่ได้หลบหนีหายไปไหน ได้ติดต่อขอเข้ารายงานตัวแสดงตนต่อเจ้าหน้าที่ทันที อีกทั้งมีความประสงค์เข้าร่วม “โครงการพาคนกลับบ้าน” ของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ซึ่งถือว่าเป็นผลดีต่อ นายอายมานฯ โดยตรงในรูปคดี
หากเปรียบเทียบคดี กรณีศาลจังหวัดปัตตานีมีคำสั่งพิพากษา 10 ผู้ต้องหาคดีระเบิดเมืองปัตตานีในห้วงเดือน มิถุนายน – ธันวาคม 2559 โดยลงโทษประหารชีวิต 6 คน จำคุกตลอดชีวิต 3 คน และจำขัง 39 ปี 12 เดือน 1 คน พฤติกรรมของจำเลยทั้ง 10 คน ที่ได้ร่วมกันก่อเหตุถึง 6 คดี เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 2 ราย ได้รับบาดเจ็บกว่า 20 ราย และทรัพย์สินของพี่น้องประชาชนผู้บริสุทธิ์ได้รับความเสียหายเป็นจำนวนมาก
ในเวลาต่อมาญาติ 10 ผู้ต้องหาคดีวางระเบิดเมืองปัตตานี ที่ถูกศาลชั้นต้นพิพากษาประหาร และจำคุกตลอดชีวิต ประกาศผ่านมูลนิธิศูนย์ทนายความมุสลิม ขอต่อสู้ในชั้นอุทธรณ์ ฎีกา เพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ และพิสูจน์การใช้หลักฐาน “ทางญาติจึงยังมีความเชื่อมั่น และมั่นใจในความเป็นธรรมจากศาล ถึงความบริสุทธิ์ของจำเลยทั้ง 10 คน ที่จะได้รับความยุติธรรมจากกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทย เพราะเป็นเพียงแค่การซัดทอดของพยาน และภาพที่บันทึกวิดีโอในระหว่างซักถามของเจ้าหน้าที่ โดยยังไม่มีปรากฏหลักฐานอื่นประกอบเลย”
คงต้องต่อสู้กันในชั้นศาลต่อไป “กระบวนการยุติธรรมที่ไม่เลือกข้าง” ผู้ที่กระทำความผิดย่อมถูกลงโทษตามกฎหมาย ส่วนผู้ที่ทำผิดแล้วยอมรับผิด ผู้นั้นสมควรที่จะได้รับการยกย่อง ให้โอกาสกลับเนื้อกลับตนเป็นคนดีของสังคม หันหลังให้กับขบวนการ ปฏิเสธการใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหาซึ่งไม่มีผลดีใดๆ เลย มีแต่สร้างความสูญเสียให้เกิดขึ้นต่อประชาชนและประเทศชาติ หันหน้ามาพูดคุยสร้างความเข้าใจกันให้มากขึ้นในทุกระดับ เพื่อสนับสนุนการพูดคุยสันติสุขในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของรัฐบาลที่กำลังเดินหน้ากับกลุ่มผู้คิดต่างกลุ่มต่างๆ ซึ่งมีประเทศมาเลเซียเป็นผู้อำนวยความสะดวก อีกไม่นานสันติสุขจะเกิดเป็นรูปธรรม หากทุกภาคส่วนทำการขับเคลื่อนรวมพลังเพื่อจังหวัดชายแดนภาคใต้ของเราให้มีความสงบสุขอย่างยั่งยืนถาวรตลอดไป
**************