สงครามการค้าจีน-สหรัฐฯ เริ่มต้นขึ้นแล้ว หวั่นลุกลามไปทั่วโลก
เป็นไปตามที่คาดหมาย สี จิ้นผิง นั่งตำแหน่งประธานาธิบดีของจีน อีกสมัย พร้อมทั้งยังคงเลือก นายหลี่ เค่อเฉียง เป็นนายกรัฐมนตรีสมัยที่สอง นอกจากนั้นแล้วทางด้านนายหลี่ เค่อเฉียง ได้เสนอรายชื่อคณะรัฐมนตรี ผู้ว่าการธนาคารกลางแห่งรัฐ และสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน โดยที่ประชุมสภาเอ็นพีซี ได้โหวตรับรองในวันที่ 19 มีนาคม 2561 ซึ่งประกอบไปด้วย รองนายกรัฐมนตรี 4 คน ได้แก่ หัน เจิ้ง, ซุน ชุนหลัน , หู ชุนหวา, และหลิว เหอ
สำหรับรองนายกรัฐมนตรี 4 ตำแหน่ง นำโดยนายหลิว เฮ่อ ที่ปรึกษาด้านนโยบายเศรษฐกิจของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ตามด้วยนายหาน เจิ้ง ซึ่งเป็น 1 ใน 7 สมาชิกคณะกรรมการประจำ หรือ Standing Committee แห่งคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์ หรือโปลิตบูโร ชุดที่ 19 นางซุน ชุนหลาน สมาชิกหญิงเพียงหนึ่งเดียวในโปลิตบูโร 25 อันดับ และนายหู ชุนหัว สมาชิกโปลิตบูโรและอดีตเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ประจำมณฑลกวางตุ้ง
นายหัน เจิ้ง
สำหรับตำแหน่งสำคัญในด้านนโยบายเศรษฐกิจและการคลังของประเทศครั้งนี้มีการเลือกทางด้านนายหลิว คุน มานั่งในตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายจง ซาน อยู่ในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงพาณิชย์ต่อเนื่องเป็นสมัยที่ 2 และการเลื่อนขั้นนายอี้ กัง จากตำแหน่งรองผู้อำนวยการขึ้นเป็นผู้ว่าการธนาคารประชาชนจีน ( พีบีโอซี ) แทนนายโจว เสี่ยวฉวน ซึ่งอยู่ในตำแหน่งตั้งแต่เดือนธันวาคม 2545
สิ่งที่นักวิเคราะห์ต่างก็มองกันว่าการเพิ่มตำแหน่งให้กับนายหลิว เฮ่อ และการเลื่อนขั้นของนายอี้ กัง ซึ่งจบการศึกษามาจากสหรัฐอเมริกา ทั้งสองคน นั้น เป็นการส่งสัญญาณอย่างมีนัยถึงสหรัฐฯ ท่ามกลางความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสองประเทศที่ตึงเครียดมากขึ้น เนื่องจากสหรัฐฯเองนั้น เพิ่งประกาศ ขึ้นภาษีศุลกากรของสินค้านำเข้าประเภทเหล็กและอะลูมิเนียม ที่จีนเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ที่สุดของโลกทั้งสองรายการ เป็น 25% และ 10% ตามลำดับ นอกจากนี้ ยังมีการเสนอแนวคิดเพิ่มกำแพงภาษีสินค้าจากจีนอีกหลายรายการด้วย
จนกระทั่งเมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2561 ที่ผ่านมา เหมือนเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามการค้าครั้งใหม่ระหว่างจีน กับสหรัฐฯ จากการเปิดเผยของ ราช ชาห์ โฆษกทำเนียบขาว ได้เปิดเผยว่าทางด้านประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มีกำหนดการจะลงนามบันทึกความเข้าใจของประธานาธิบดีเพื่อลงโทษความก้าวร้าวทางเศรษฐกิจของจีน และ การดำเนินการนี้มีขึ้นภายหลังจากที่คณะบริหารของนายโดนัลด์ ทรัมป์ เปิดการสอบสวนความพยายามของจีนในการบิดเบือนตลาด เพื่อบังคับ กดดัน และขโมยเทคโนโลยีและสินทรัพย์ทางปัญญาของสหรัฐฯ
ซึ่งความเคลื่อนไหวเหล่านี้เกิดขึ้นไม่กี่สัปดาห์ หลังจากที่ทางด้านสหรัฐฯประกาศมาตรการแซงก์ชันเหล็กกล้าและอลูมิเนียมที่นำเข้าจากต่างชาติ ในขณะที่ทางด้าน เจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ออกมาเตือนว่า แนวโน้มที่จะเกิดสงครามการค้า อาจคุกคามการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯเอง
แต่เหมือนว่าผู้นำสหรัฐฯ ไม่ได้ฟังสิ่งที่ทางด้านเจอโรม พาวเวลล์ ออกมาเตือนเมื่อผู้นำสหรัฐฯ ยังได้เดินหน้าเตรียมประกาศเพิ่มอัตราภาษีศุลกากรในสินค้าต่างๆ ที่นำเข้าจากจีนรวมเป็นมูลค่าถึง 60,000 ล้านดอลลาร์ ขณะที่จีนเตรียมตอบโต้โดยพุ่งเป้าที่ภาคอุตสาหกรรมซึ่งเป็นฐานเสียงหลักของนายโดนัลด์ ทรัมป์ อย่างเช่นสินค้าการเกษตร
ด้านโรเบิร์ต ไลต์ไฮเซอร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (ยูเอสทีอาร์) แถลงว่า มาตรการลงโทษที่เตรียมประกาศจะพุ่งเป้าที่ภาคไฮเทคของจีน รวมทั้งอาจมีการจำกัดการลงทุนของจีนในอเมริกา
ปี 2560 สหรัฐฯขาดดุลการค้าจีนทำสถิติถึง 375,000 ล้านดอลลาร์ กระนั้น มูลค่าการส่งออกจากสหรัฐฯ ไปยังจีนก็สูงสุดทำสถิติเช่นเดียวกัน
เจ้าหน้าที่อาวุโสในสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ เปิดเผยว่า คณะบริหารของอดีตประธานาธิบดีบิลล์ คลินตัน, จอร์จ ดับเบิลยู. บุช และบารัค โอบามา พยายามมาตลอดที่จะเกลี้ยกล่อมให้จีนยึดถือระบบเศรษฐกิจแบบตลาดและการค้าเสรี แต่ก็ล้มเหลวมาตลอดเช่นเดียวกัน
จนมาถึงคณะบริหารของโดนัลด์ ทรัมป์ ที่เปิดการสอบสวนเมื่อเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว หลังจากได้รับการร้องเรียนจำนวนมาก ซึ่งรวมถึงกรณีที่จีนบังคับให้บริษัทสหรัฐฯ ถ่ายโอนเทคโนโลยีและความลับทางการค้าให้หุ้นส่วนฝ่ายจีน เพื่อแลกเปลี่ยนกับการดำเนินงานและการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนในจีน บริษัทสหรัฐฯ ยังไม่สามารถขอใบอนุญาตทรัพย์สินทางปัญญาในจีนได้ ขณะที่บริษัทจีนทำได้อย่างเสรี นอกจากนั้น เจ้าหน้าที่สหรัฐฯยังกล่าวหาว่า จีนเจาะระบบเครือข่ายของสหรัฐฯ และสอดแนมทางการค้าเพื่อโจรกรรมทรัพย์สินทางปัญญา
ด้านวิลเลียม มาร์แชล นักกฎหมายในฮ่องกงที่ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการลงทุนและข้อพิพาทแก่ลูกค้าทั้งสหรัฐฯและจีน ขานรับว่า จีนมีตัวเลือกในการตอบโต้อีกมากมาย เช่น เทสลา ที่กำลังเจรจากับทางการเซี่ยงไฮ้เพื่อสร้างโรงงานผลิตรถไฟฟ้าในเมืองดังกล่าว รวมถึง ถั่วเหลืองส่งออกของอเมริกา หรือแม้แต่ บริษัทอเมริกัน อาทิ โบอิ้งที่ขายเครื่องบินให้สายการบินจีนมูลค่าหลายหมื่นล้านดอลลาร์ อาจถูกลูกหลงจากสงครามการค้าของสองมหาอำนาจของโลก
ขณะที่ทางด้านประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีน ส่ง หลิว เหอ ที่ปรึกษาเศรษฐกิจระดับสูง ไปสหรัฐฯ เพื่อคลี่คลายข้อพิพาททางการค้า ทว่า เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ กล่าวว่า จีนไม่มีข้อเสนอที่เป็นรูปธรรมไปมอบให้แต่อย่างใด
นายหลิว เหอ
หนังสือพิมพ์ไชน่า เดลี่ของรัฐบาลจีน ออกบทบรรณาธิการเรียกร้องให้ทั่วโลกยืนหยัดร่วมกันเพื่อป้องกันสงครามการค้า โดยเตือนว่า จีนไม่ใช่เป้าหมายเดียวของคณะบริหาร นายโดนัลด์ ทรัมป์
ด้านเดอะ วอลล์ สตรีท เจอร์นัล รายงานโดยอ้างแหล่งข่าว ว่ารัฐบาลจีนเตรียมมาตรการตอบโต้สหรัฐฯ ที่รวมถึงการเพิ่มอัตราภาษีสูงลิ่วสำหรับสินค้าเกษตร และเตือนว่าบริษัทขนาดใหญ่หลายแห่งของสหรัฐฯ ที่ลงนามความร่วมมือกับจีนอาจต้องพบกับความเสี่ยง
เวลานี้สงครามการค้าระหว่างจีน กับสหรัฐฯ ได้เริ่มต้นขึ้นแล้วอย่างเป็นทางการ ซึ่งบรรดานักวิเคราะห์ต่างก็หวั่นเกรงว่า มันอาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของวิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหม่ ของโลก และส่งผลกระทบไปต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจโดยรวมของโลก สร้างความชะงักงันให้กับผู้ผลิตและผู้บริโภคโดยรวม แต่อาจจะส่งผลดีต่อคู่ค้าของสองประเทศ ที่จะได้รับโอกาสในสินค้าประเภทเดียวกัน เข้าไปทดแทนตลาดเดิม เติมเต็มในสิ่งที่ประเทศเหล่านั้นขาดหาย
สำหรับสงครามครั้งนี้อย่าได้กระพริบตา เพราะมันมีโอกาสลุกลามบานปลายไปสู่สงครามที่พร้อมระเบิดเวลาสู่ความรุนแรงเช่นเดียวกัน
...................................................................
23-3-61 เวลา 15.16 น.