หมดยุคธนาคารนับแบงค์! 2 ปีที่ผ่านมา มีธ.พาณิชย์แห่กันปิดสาขาไปมากกว่า 400 สาขาแล้ว! (2558-2560)
เมื่อวันที่ 13 ก.พก.61 เฟซบุ๊ก The dialogue ได้เผยแพร่ข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับการปิดสาขาของธนาคารพาณิชย์ตลอดระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา ( 2558-2560 ) โดยได้ปิดไปแล้วกว่า 400 สาขา โดยแบงค์ที่ปิดสาขามากที่สุดคือ "แบงค์กสิกรไทย ที่มากถึง 95 สาขา" กรุงไทยปิดไป 93 สาขา ธนชาติปิดไป 36 สาขา ไทยพาณิชย์ปิดไป 48 สาขา ซีไอเอ็มบีไทยปิดไป 36 สาขา ทหารไทยปิดไป 22 สาขา และในอนาคตธนาคารพาณิชย์อาจจะมีแนมโน้ม ปิดสาขาเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากพฤิตกรรมของประชาชนเปลี่ยนไปพึ่งเทคโนโลยีในการทำธุรกรรมการงเงิน และเริ่มเข้าสู่สังคมไร้เงินสดมากยิ่งขึ้น และผลกระทบเกี่ยวโยงกับเศรษฐกิจที่ต้องปรับตัว... โดยทางเพจฯ ได้โพสท์ข้อมูลระบุว่า ..
หมดยุคธนาคารนับแบงค์ เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา ธนาคารพาณิชย์แห่กันปิดสาขาไปมากกว่า 400 สาขา
แล้วในสถานการณ์ที่ธุรกิจธนาคารกำลังปรับตัวเข้าสู่ยุคใหม่ ใครที่ปิดสาขามากที่สุด?
จากที่เมื่อก่อนธนาคารต้องแข่งกันเปิด สาขา ให้เข้าถึงคนทั่วประเทศ มาในวันนี้ธนาคารกับต้องการที่จะลดจำนวนสาขา
5 ปีที่แล้ว จำนวนสาขาของธนาคารยังคงมีอัตราที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ การทำธุรกรรมแตกแขนงบริการออกมามากมายเพื่อต้อนรับยุคอีคอมเมิร์ซที่เติบโตพุ่งพรวด แต่ในเวลาเพียง 2 ปี จำนวนสาขากลับลดลงอย่างต่อเนื่องนับร้อยสาขา ราวกับพิสูจน์คำกล่าวของ Bill Gates ที่ว่า Banking is necessary, Banks are not.
กำเนิดเทคโนโลยี Cashless Society, Fintech เพื่อการธนาคารในยุคใหม่
สังคมไร้เงินสดกลายเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วในประเทศพัฒนาอย่างสวีเดน นอร์เวย์ ในขณะที่ประเทศอื่นๆกำลังเข้าสู่สังคมไร้เงินสดเช่นกัน [บทความและ Infographics เรื่อง Cashless Society: https://goo.gl/T88UX2 ]
เมื่อเราเข้าสู่สังคมไร้เงินสดเต็มตัว การเดินเข้าธนาคารเพื่อทำธุรกรรม นับแบงค์ก็ไม่จำเป็นอีกต่อไป เพราะละสาขาก็มีต้นทุนในการดำเนินการไม่ว่าจะเป็นค่าเช่า ค่าพนักงาน ค่าขนเงินสด ค่าสาธารณูปโภคถ้าธนาคารนำเทคโนโลยีมาช่วย ก็จะช่วยลดต้นทุน และจริงๆแล้วก็ช่วยทำให้ทุกอย่างสะดวกขึ้นมากๆด้วย
ในปี 2559 สถิติธุรกรรมออนไลน์บนสมาร์ทโฟนทั่วโลกเติบโต 64% ในขณะที่ไทยมีการเพิ่มขึ้นของบัญชีออนไลน์กว่าร้อยละ 50 หรือประมาณ 21 ล้านบัญชี ทำให้แอพลิเคชั่น Mobile Banking ไม่ใช่แค่ตัวเลือกแต่เป็นสิ่งที่ ‘ต้องมี’
สาขาของธนาคารโดยเฉพาะรูปแบบ STAND ALONE จึงทยอยปิดตัวลงเป็นจำนวนมาก ปี 2558-2560 มีจำนวนสาขาของธนาคารลดไปทั้งสิ้นถึง 406 สาขา
กสิกรไทยปิดไปมากที่สุด 95 สาขา
กรุงไทยปิดไป 93 สาขา
ธนชาติปิดไป 91 สาขา
ไทยพาณิชย์ปิดไป 48 สาขา
ซีไอเอ็มบีไทยปิดไป 36 สาขา
ทหารไทยปิดไป 22 สาขา
ในขณะที่ธนาคารกรุงเทพและธนาคารกรุงศรีอยุธยากลับมีจำนวนสาขาโดยรวมเพิ่มขึ้น 30 สาขาและ 27 สาขาตามลำดับ
แบงค์ต่างชาติ ก็ต้องปรับตัวเช่นกัน
แน่นอนว่ายุคดิจิตอลส่งผลกระทบต่อธนาคารทั่วโลก และธนาคารยักษ์ใหญ่ทางเศรษฐกิจอย่างญี่ปุ่น อเมริกา และอังกฤษ ก็มีการปิดสาขาธนาคารไปเป็นจำนวนมากด้วยสาเหตุเดียวกัน
ใน 10 ปีที่ผ่านมา ธนาคารในสหรัฐอเมริกาปิดสาขาไปถึง 7,000 สาขา ในขณะที่ธนาคารในอังกฤษปิดไปถึง 1,000 สาขาในเวลาเพียง 2 ปี ส่วนธนาคารในญี่ปุ่นเองก็ลดทั้งจำนวนสาขาและเงินเดือนพนักงาน
โดยเฉพาะญี่ปุ่น ที่เผชิญกับปัญหารอบด้าน นอกจากการเข้าสู่ยุคดิจิตอลแล้ว ญี่ปุ่นยังเจอปัญหาด้านประชากรลดน้อยลงและโครงสร้างประชากรก็มีสูงอายุเป็นส่วนมากเสียด้วย รัฐบาลจึงพยายามประคองธนาคารย่อยๆ ด้วยการพิจารณาออกนโยบายอนุญาตให้ธนาคารปิดทำการได้มากกว่าแค่วันหยุด เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายลง
แหล่งที่มา: FB: The dialogue
ที่มา:
ธนาคารแห่งประเทศไทย [ปรับปรุงล่าสุด 10 มกราคม 2561]
Forbes
https://brandinside.asia/japan-gov-allow-bank-close-weekday/
https://brandinside.asia/bank-close-branch-us-uk-japan/
https://brandinside.asia/lloyds-shut-100-brunch/
https://www.mangozero.com/the-future-of-mobile-banking-in-…/
https://www.facebook.com/thedialoguebytbs/photos/a.381090482247222.1073741828.380905865599017/546237009065901/?type=3&theater