รถยนต์ไฟฟ้าช่วยลดปัญหาโลกจริงเหรอ

ที่เค้าว่ากันว่ารถยนต์ไฟฟ้าดีต่อสิ่งแวดล้อมนั้น จริงไหม โปรดพิจารณา

ความเชื่อที่ว่ารถยนต์ไฟฟ้าไม่ปล่อยควันจากการสันดาปน้ำมัน ทำให้คนคิดไปว่ามันดีกว่ารถยนต์แบบเดิมที่ใช้น้ำมัน แต่ การพิจารณาว่าสิ่งใดจะดีต่อสิ่งแวดล้อม จะพิจารณาจากคำว่า Carbon Footprint หรือ ปริมาณของ CO2 ที่ปล่อยออกมาทั้งหมดตั้งแต่ เริ่มผลิตจนถึงวันที่สิ่งนั้นสูญสลายไปจากโลก นั่นคือ นับจากกระบวนการผลิตรถยนต์ การขับขี่รถยนต์ ไปจนถึงการทำลายรถยนต์เพื่อนำมาสร้างใหม่

เค้าพบว่า ระหว่างการผลิตรถไฟฟ้านั้นมีการปล่อย CO2 ออกมาถึง 25,000 ปอนด์ เพราะ การจะผลิตรถยนต์ไฟฟ้าได้นั้นต้องใช้แบตเตอรี่ ซึ่งการผลิตต้องใช้ Lithium การทำเหมือง Lithium เป็นกิจกรรมที่ไม่นับว่าเป็นความ Green เลย แต่ เมื่อเทียบกับการผลิตรถยนต์ที่ใช้นำ้มันนั้น ปล่อย CO2 ออกมาเพียง 16,000 ปอนด์เท่านั้น

ทีนี้เมื่อผลิตเสร็จรถก็ต้องออกมาวิ่ง ตอนนี้แหละที่เค้าบอกว่า รถยนต์ไฟฟ้าจะทำหน้าที่รักษ์โลกแล้ว ก็มีข้อโต้แย้งกันอีก เค้ามีการวิเคราะห์โดยใช้ประเทศสหรัฐอเมริกาเป็น Model รถไฟฟ้านั้นอย่างไรก็ต้องเติมไฟฟ้า แล้ว ไฟฟ้านั้นมาจากไหน 65% ของไฟฟ้าที่ใช้ในประเทศสหรัฐอเมริกามาจาก “ถ่านหิน” และ Fossil ที่ปล่อย CO2 อย่างมโหฬาร โดยใช้พลังงานแบบ Renewable เพียง 14%

แถมอีก 25 ปีหรือในปี 2040 ทีมงานด้านการพลังงานของโอบาม่าบอกว่า อเมริกาก็จะใช้พลังงานไฟฟ้าจาก Renewable Source เพียง 17% นั่นหมายความว่า รถไฟฟ้า ก็เป็นตัวการในการสร้าง CO2 อยู่ดี ยิ่งใช้รถไฟฟ้า ก็ยิ่งต้องใช้ถ่านหิน เพราะ Renewable energy เติบโตไม่ทัน

มีคำพูดของ Venture Capitalist ที่ชื่อว่า Vinod Khosla กล่าวไว้ว่า “รถยนต์ไฟฟ้า คือ รถที่วิ่งด้วยพลังงานถ่านหิน นั่นแหละ”

มีคำแย้งนึงที่เกิดบ่อยคือ รถยนต์ปล่อยควันในเมือง แต่ โรงงานผลิตไฟฟ้าปล่อยควันนอกเมือง น่าจะปลอดภัยกว่า นักวิจัยแห่ง National Academy of Science ได้พยากรณ์ไว้ว่า ถ้าปี 2020 มีรถยนต์ใช้น้ำมันมากขึ้น 10% จะมีคนตายเพิ่มจากมลภาวะ 870 คนต่อปี แต่ถ้ามีรถยนต์ไฟฟ้าใช้มากขึ้น 10% จะมีคนตายจากมลพิษปีละ 1617 คน มากกว่าเกือบเท่าตัวเลยทีเดียว

การศึกษาพบว่า Nissan Leaf รถยนต์ไฟฟ้ายอดนิยมหลังจากใช้รถไป 90,000 ไมล์ จากวันผลิตจนวันที่มันถูกทุบทิ้งจะปล่อย CO2 ออกมา 31 ตัน ในขณะที่รถเมอร์เซเดส เบนซ์ ที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซลจะปล่อย CO2 ออกมา 34 ตัน ต่างกันแต่ 3 ตัน หรือ ถ้าเอารถ Tesla รุ่นท็อปมาเทียบจะปล่อย CO2 ออกมาทั้งกระบวนการ 44 ตัน ถ้าเทียบกับ Audi A7 Quattro จะปล่อย CO2 ออกมา 49 ตัน สรุปว่า ต่างกันแค่ 5 ตัน ต่อรถหนึ่งคัน

มามองอีกมุมนึง ค่าใช้จ่ายในการลด CO2 ของ EU จะมีค่าเฉลี่ยที่ 7 ดอลล่าร์ต่อตัน เท่ากับว่า รถยนต์ไฟฟ้า ช่วยลดค่าใช้จ่ายลงไป 7x5 = 35 ดอลล่าร์ แต่ รัฐบาลต้องสนับสนุนการผลิตแบตเตอรี่ สนับสนุนภาษีรถยนต์ไฟฟ้า ต่อคันถึง 7,500 ดอลล่าร์

นี่ยังไม่นับผลเสียจากการต้องมีภาระในการกำจัดสารโลหะหนักจากส่วนประกอบของแบตเตอรี่ของรถยนต์ไฟฟ้า ที่เป็นสารอันตรายต่อมนุษย์มากกว่า ชิ้นส่วนไหนๆของรถยนต์ที่ใช้น้ำมันในปัจจุบันเสียอีก

จึงเรียนมาเพื่อให้ท่านผู้บริหารได้รับทราบพิจารณา และ มองหาโอกาสและความได้เปรียบในการแข่งขันต่อไป

ผู้บริหารสามารถอ่านเองได้ที่

https://wattsupwiththat.com/…/tesla-car-battery-production…/

https://www.theguardian.com/…/s…/23/carbon-footprint-new-car

https://www.epa.gov/…/greenhouse-gas-emissions-typical-pass…

https://www.wired.com/…/teslas-electric-cars-might-not-gre…/