หน้าแรก ตรวจหวย เว็บบอร์ด ควิซ Pic Post แชร์ลิ้ง หาเพื่อน Chat หาเพื่อน Line หาเพื่อน Skype Page อัลบั้ม แต่งรูป คำคม Glitter สเปซ ไดอารี่ เกมถอดรหัสภาพ เกม วิดีโอ คำนวณ การเงิน
ติดต่อเว็บไซต์ลงโฆษณาลงข่าวประชาสัมพันธ์แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสมเงื่อนไขการให้บริการ
เว็บบอร์ด บอร์ดต่างๆค้นหาตั้งกระทู้

เรียน ป.โท ไปเพื่ออะไร มหาวิทยาลัยยังจำเป็นอยู่มั๊ย

โพสท์โดย warrior B

เรียน ป.โท ไปเพื่ออะไร มหาวิทยาลัยยังจำเป็นอยู่มั๊ย? ยาวหน่อยแต่อยากให้อ่านครับ BY  By ท็อป ณัฐบดินทร์ ภาคแนะแนวการศึกษา 55

 


ยาวสัสๆ ยาวมากๆ

ยาวจนบางคนขี้เกียจอ่าน หลายคนมักจะไม่ลงมือทำหรืออ่านอะไร ถ้าไม่รู้ผลลัพธ์ข้างหน้าจะได้อะไรกลับคืนมา สมองจะสั่งให้เข้าสู่โหมด save zone เพราะรู้สึกปลอดภัยและสบายกว่า แต่ในชีวิตจริง มันจะมีคนมาบอกมาสรุปให้ทุกอย่างมั๊ย ว่าควรทำอะไร ไม่มีหรอก "เห้ย... กุอยากรวย ทำให้กุหน่อย แบบนี้เหรอ 55" มันต้องลองทำหรืออ่านดูเองเท่านั้น การเรียนก็เหมือนกัน

เมื่อวานมีเพื่อนตั้งโพสต์ว่าจะลาออกจากเรียน ป.โท ดีมั๊ย และ ก็ตรงกับความสงสัยในหัวช่วงนี้เหมือนกันว่า มหาวิทยาลัยยังมีความจำเป็นอีกมั๊ยในอนาคตที่การเข้าถึงข้อมูลทุกอย่าง ง่ายและรวดเร็วมากๆ

หลายคนมีเหตุผลจากการเรียนต่อแตกต่างกันไป
ยกตัวอย่างเช่น

1.เรียนเพื่อความรู้ อยากเก่งขึ้น ฉลาดขึ้น รักในความรู้
2.Social status ทางสังคม จบแล้วหล่อ 
3.Connection
4.เป็นความท้าทายของชีวิต
5.ตามค่านิยมของสังคม 
6.เรียนเอาใบปริญญา
7.เพื่อความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน
8.ไม่รู้จะทำอะไร ไม่อยากทำงาน
9.พ่อแม่อยากให้เรียน
10.ทางผ่านไปเป็น คณบดี อธิการบดี นักการเมือง

แล้วทำไมต้องมาถามว่าควรเรียนไม่ควรเรียน ความรู้ก็เป็นสิ่งที่ดีไม่ใช่เหรอ ใช่ แต่สิ่งที่ต้องเเลกมาก็หนักพอสมควร

1.ค่าใช้จ่าย 300k- 2m บาท
2.เวลาที่เสียไป 2-5 ปีของชีวิต 
3.ความรู้ที่ได้มามันคุ้มค่ากับแรงที่แลกไปรึเปล่า 
4.คอนเนคชั่นมันดีจริงรึเปล่า

นี่คือเหตุผลทั้งหมดที่พอจะคิดได้ คำถามต่อไป คือ เราอยากได้อะไรจากการเรียนต่อกันแน่

 

## หากวิเคราะห์จากการแบ่งตามสายอาชีพ

ถ้าจะมาสายนักวิชาการ ครู นักวิจัย แบบนี้ควรเรียน (มีความจำเป็นประมาณ 80%) เพราะเป็นส่วนหนึ่งของความก้าวหน้าในงาน และ บางคนก็รักในความรู้ มีความสุขในการรันโมเดล อ่านเปเปอร์ (แก้งานวิจัย?)

ถ้าจะมาสายการเป็นพนักงานออฟฟิสมืออาชีพ ก็ควรเรียน ( มีความจำเป็นประมาณ 50% )เพราะมีผลกับเงินเดือนและการเลื่อนตำแหน่ง ความก้าวหน้าในสายงานและโอกาสต่างๆ

ถ้ามาสายผู้ประกอบการ เรียนก็ดี แต่ไม่มีก็ได้ ( มีความจำเป็น 30% ) ส่วนใหญ่ผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จ จะเป็นพวกลองผิดลองถูกและทำเลย ทฤษฎีที่เรียนมาก็สำคัญ แต่คู่เเข่งและลูกค้าพฤติกรรมเปลี่ยนไปทุกวัน บางทีความรู้ในตำราก็ตามไม่ทัน กว่าคนจะรู้ กว่าคนจะเขียนหนังสือ กว่าเราจะได้เรียน ความรู้สมัยนี้แมร่งเปลี่ยนไปอีกแล้ว ยุคก่อนๆ 5 ปีเปลี่ยนที ตอนนี้แทบจะ 1-2 ปี บางเรื่องแทบจะไม่ถึงปี

 

## หากเรียนเพื่อสถานะทางสังคม ตำแหน่งทางสังคม ความชอบส่วนตัว ความท้าทาย แบบนี้เรียนไปเถอะ ไม่ต้องวิเคราะห์เพราะเป็นรสนิยม บางคนแมร่งมีปริญญา 5 ใบ มีคนแบบนี้ใกล้ตัวเหมือนกัน แต่คุยกันไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่

 

## หากเรียนเพื่อคอนเนคชั่น ความสัมพันธ์ทางธุรกิจ หลายคนบอกว่าสนิทกันมากเพราะเรียนด้วยกันนาน ตอน แต่ตอน ป.ตรี ก็เรียนตั้ง 4 ปีนะ บางคนกุยังไม่ค่อยรู้จักเลย แถมจบมาก็หายๆกันไป ไม่ได้ keep connection กันต่อ ด้วยงานที่แตกต่างกันไปคนละอุตสาหกรรม เลยไม่ค่อยเจอ ไม่ค่อยมีโอกาสทักทายกัน ดังนั้นเวลามันไม่ค่อยเกี่ยวกับความสัมพันธ์ซะเท่าไหร่

ถ้าได้คอนเนคชั่น ส่วนใหญ่ก็เป็นอาจารย์หรืออาจมีเพื่อนที่เรียนด้วยกันบ้าง กลุ่มเดียวกันบ้าง ไม่กี่คน ที่ใช้เวลาด้วยกันจริงๆ

แต่ประเทศไทยมันเสียตรงที่ มันมีกลุ่มที่ไม่เคยทำงานด้วยไง มันเรียนไวไป ยังไม่มีประสบการณ์เลย จบตรีก็ต่อโทเลย จะมีอะไรให้แชร์ ให้แลกคอนเนคชั่นกันมันก็น้อย

ถ้ามองด้านสถิติ เราได้คอนเนคชั่นอะไรบ้าง กี่คนจากการที่เรียนเป็นเวลา 2 ปี +- และเงินที่เสียไป และแรงที่ลงไป

มันเลยทำให้เกิดเทรนด์ธุรกิจ business matching / คอร์สหาคอนเนคชั่น เกิดขึ้นเยอะมาก เช่น ตั้งแต่เบสิคช่วงใกล้ๆจบหรือจบไม่นานก็ NIP SIP JUMC โตขึ้นมาหน่อยก็ JUMCWOW RECUjunior โตมาหน่อยก็ RECU ABC YFPI DEF FINE KSME DNA DStartUp อายุน้อยร้อนล้าน คอนเนคชั่นตำรวจ ทหาร ceo วปอ. หรือแบบคอนเนคชั่นระดับพระเจ้า UltraWealth เอาเป็นว่าเยอะไปหมด ทั้งเอกชน มหาลัย ธนาคาร หน่วยงานต่างๆ อยู่ที่ว่าเราอยากได้คอนเนคชั่นระดับไหน

โดยส่วนใหญ่จะใช้เงินเป็นตัววัด เพราะง่ายสุด คอร์สยิ่งแพง ความโหดของคนเรียนยิ่งมาก ราคาหลัก 50k จนถึง 300k หรือต้องมีพอร์ต 10m หรือธุรกิจระดับ 50m+ ก็ว่ากันไป ตามแต่ละเงื่อนไข แต่ค่าปาร์ตี้ก็เท่าตัวเหมือนกัน

ข้อดีของพวกนี้คือ คนที่กล้าจ่ายได้ มันต้องไม่ธรรมดา และประสบความสำเร็จในตัวเองแล้วในระดับหนึ่ง ส่วนใหญ่ทำงานมามากกว่า 5 ปีเป็นระดับเมเนเจอร์ ซีอีโอ หรือ ดารา หน้าที่การงานพอตัวในระดับหนึ่ง คอนเนคชั่นพร้อมใช้ บางคนพร้อมแต่งงานด้วยนะ 55 และใช้เวลาด้วยกันแค่ 1-2 เดือน ไม่เสียเวลาเป็นปี (เวลาสำคัญกว่าเงิน)

ถ้าถามว่าจะสนิทกันขนาดนั้นเลยเหรอ ก็สนิทพอตัวนะ ลองไปปาร์ตี้ กินเหล้า เมาด้วยกันทุกวัน ไปเที่ยว ไปต่างประเทศ ตลอด 2 เดือน แบบไม่หยุดพักดูสิ แอลกอฮอล์ช่วยละลายพฤติกรรมคนได้จริงๆ

เอาจริงๆ หลายคนก็เข้าไปหาลูกค้าหรือไปต่อยอดธุรกิจกันในนี้แหละ แต่ Profile ตัวเองก็สำคัญ พอสมควร ไม่ใช่จะไปหาประโยชน์จากคนอื่นโดยที่ตัวเองไม่มีอะไรให้คนอื่นเลยมัน ก็ไม่ได้ มันคือประโยชน์ต่างตอบแทน ช่วยกันรวย วินๆ ทั้งคู่ แต่อย่าลืมว่า ''คอนเนคชั่นให้ โอกาสแต่ความสำเร็จต้องทำเอง"

 

## ต่อไป หากมองในประเด็นด้านผู้จ้างงาน 
ยุคก่อนบริษัทอาจดูเกรด ดูมหาลัยที่จบ ใครบอกว่าทุกมหาลัยคุณภาพเท่ากันก็ช่างมันเถอะ โลกความจริงมันไม่ใช่แบบนั้นไง อุดมคติโลกสวยเกินไป บางบริษัท มีสีอีกด้วย บริษัทนี้สีชมพู สีเหลืองแดง คือพวกพี่ๆมันปลูกฝังมาแบบนี้ มีคนช่วยแน่นอน 55 ก็ว่ากันไป

แต่เดี๋ยวนี้เทรนด์หลายบริษัทไม่ดูเกรดมีมากขึ้น เรื่อยๆ เพราะมันไม่ใช่ปัจจัยทั้งหมดของงาน มันเป็นแค่การกรองเบื้องต้น หรือแทบไม่สำคัญเลย บางอาชีพต้องใช้สกิลการฝึกฝน เอาง่ายๆ ไม่ใช่คนที่จบ ดร.จะเล่นหุ้นกำไร ความฉลาดไม่สามารถทำให้พอร์ตหุ้นบวกขึ้นมาได้ ดอยเหมือนกัน

แล้วยุคนี้เค้าดูอะไรกันบ้าง เอาง่ายๆเลย จากที่เคยสัมภาษณ์คนเข้าทำงานมา วันๆงานก็ยุ่งอยู่แล้ว เลิกงานก็ปาร์ตี้กับเพื่อน คิดว่ามีเด็กคนนึงมาสมัครงาน จะต้องเตรียมอ่านประวัติเด็กมันทั้งคืนมั๊ย ตอบเลยว่าไม่หรอก อ่านหน้างานนี่แหละ ก่อนเข้าห้องสัมภาษณ์ ดูเกรดก็ดูได้แค่ว่าภาพรวมเป็นไง ยิ่งจบคนละมหาลัย กุจะไปตรัสรู้มั๊ย ออนี่วิชาปลูกข้าว บลาๆ ไม่รู้หรอก

ส่วนใหญ่จะให้คนสมัครเล่าชีวิตตัวเองนั่นแหละ แล้วเอาสิ่งที่มันเล่ามาถามต่อเพื่อดูทัศนคติ และดูความตั้งใจ งานมันพอสอนกันได้ แต่เด็กที่มีไฟและขยันอ่ะ หายาก จริงๆขอแค่ทำงานที่สั่งให้เสร็จเรียบร้อยก็เป็นบุญแระ แต่ถ้าเอาง่ายสุด เชคเฟสบุ๊ค จะรู้เลยว่าคนนี้พฤติกรรมเป็นยังไง ชอบอะไร นิสัยเป็นแบบไหน แต่ส่วนตัวชอบคนที่ดูแล้วมีของ ขยันมีไฟมากกว่าค่าเฉลี่ย สู้ชีวิต ยิ่งมีภาระทางบ้านโคตรชอบเลย สู้งานดี

แต่จากประสบการณ์ ยิ่งจบสูง ความตั้งใจความมุ่งมั่นในการทำงาน หรือวิธีคิด วิเคราะห์จะสูงตาม ก็คุณภาพกว่าคนไม่เรียนนั่นแหละ ในด้านตรรกะและมุมมองนะ ซึ่งสำคัญมากๆ คนจบ ป.โท ปฺ.เอก สกิลพวกนี้จะสูงมาก แต่ถ้าใครไม่มีโอกาสถึงระดับนี้ก็เรียนรู้จากประสบการณ์จริงๆก็ได้เหมือนกัน

 

## ประเด็นเรื่องเทรนด์ในอนาคต
มันตลกดีในเมื่อ อาชีพในโลกนี้มีเป็น 10,000 อาชีพ แต่คณะที่เราเรียนกันมีแค่ 18-30 คณะ ตอนมัธยมนี่ยิ่งไปกันใหญ่ มี วิทย์ คณิต ภาษา ศิลป์ บลาๆ วิชาส่วนใหญ่มีไว้เพื่อวัดเงื่อนไข คนที่จะเป็นหมอ ไม่ก็วิศวะมั้ง ยิ่งเด็กต่างจังหวัดมันรู้เท่านี้แหละ ครูแนะแนวเล่าให้ฟังเท่านี้

เคยรึเปล่า จบมาแล้วทำงานไม่ตรงสาย ผมว่ามีเกือบ 70% มันเลยเกิดคำถามที่ว่าจะเรียนสิ่งที่ไม่ได้ใช้ไปทำไมว่ะ เพื่อค่านิยมสังคมเหรอ เพื่อเกียรติบัตรเหรอ

ยิ่งอยู่ในโลกสมัยนี้ยิ่งอยู่ยาก จบโปรแกรมเมอร์มาแต่น้อยคนจะเข้าใจธุรกิจ เช่น คนเก่งยิงแอด แต่ไม่รู้เรื่องการขาย การเขียน ก็ทำงานยาก คนจบด้านอาร์ต หลายคนก็ทำงานสนองนีดตัวเอง โดยที่ลูกค้าไม่เข้าใจ ขายงานไม่ได้ คนจะเป็น data scientist จบเศรษฐศาสตร์ แต่เขียนโปรแกรมไม่เป็น ก็ทำงานแบบเต็มที่ไม่ได้

ยุคนี้ใครมีความรู้แค่อุตสาหกรรมเดียว หรือ มีเฉพาะความรู้ที่จบมา ไม่มีทางอยู่รอด เพราะมัน cross กันไปหมด

ยุคต่อไปอาจจะไม่มีคำว่าคณะก็ได้ แต่อาจจะมีคำว่า สกิลขึ้นมาแทน สกิลการเขียน สกิลการขาย สกิลการตลาด สกิลการบริหารคน สกิลการออกแบบ สกิลการตัดต่อวีดีโอ สกิลถ่ายรูป สกิลการเขียนโปรแกรม ทุกๆคนควรอัพเดทสกิลตัวเองตลอดเวลาเพื่อพัฒนาตัวเองให้ทันโลก ทันคู่แข่ง และทันลูกค้า มันคงตลกดีที่เราเรียน 4-6 ปี เพื่อใช้ทำงานที่เหลือของชีวิตอีก 30-40 ปี โดยไม่อัพเดทสกิลตัวเองเลย

และในอนาคตเราจะเข้าถึงความรู้ได้ง่ายมาก แทบจะยกทั้งมหาลัยมาเรียนออนไลน์ได้แล้วตอนนี้ อยากดูอะไรก็เปิดดู เปิดอ่าน ebook ก็มี และตอนนี้เรียกได้ว่าเป็นยุคเฟื่องฟูของโค๊ช ทั้งโค๊ชชีวิต การตลาด การขาย สร้างบ้านดิน ทำเค๊ก สอนแต่งรูป ภาษี บัญชี ส่งออก เกิดขึ้นเยอะมาก สัมมนาวิชาการต่างๆ มีให้เรียนเต็มไปหมด มหาวิทยาลัยคงเหลือแค่เป็นสถานที่พบปะกัน ทำกิจกรรมร่วมกัน ถ้าใครยังยึดติดกระดาษ กับเรื่องใบ cert. ใบปริญญา เดี๋ยวนี้บางมหาลัยก็ออกให้ได้ ไม่ยากเลย เราสามารถเลือกเรียนสิ่งที่ชอบได้ และเรียนเรื่องที่จำเป็นต้องใช้ในงานจริงๆได้ แล้วจะไปเรียนในวิชาที่ไม่ได้ใช้ให้เสียเวลาทำไม

สิ่งที่ต้องมาคิดต่อ มันไม่ใช่ว่าจะเรียนหรือไม่เรียน มันต้องเรียนอยู่แล้ว อยู่ที่ว่าจะเรียนในรูปแบบไหนจะเหมาะสมกับตัวเองที่สุด ระบบแบบเก่าหรือเรียนรู้ระบบใหม่

จริงๆแล้ว วัตถุประสงค์เราก็แค่อยากได้ความรู้ที่มันใช้ได้ วิธีคิด ตรรกะเท่านั้นเองไม่ใช่เหรอ ดังนั้นเราต้องลองมองลึกลงอีก ไปเปรียบเทียบหลักสูตรหรือสิ่งที่อยากเรียน ว่าที่ไหนทำได้ดีกว่า ต่อไปอาจมีนายทุนข้างนอก เช่น Jack Ma / Mark Zuckerberg /Elon Musk / Bill Gate / Larry page / Jeff bezos / Buffet ลงเล่นตลาดการศึกษาและทำได้ดีกว่าระบบมหาวิทยาลัยในปัจจุบันก็ได้ ทำหลักสูตรเอง ได้คนที่มีสเปคตามต้องการ ไม่แน่อาจการันตรีให้ทำงานด้วย แถมยังได้เงินค่าเรียนกับคนที่จะจ้างอีก ไม่ต้องเสียเวลาจ้างคนที่ทำงานไม่เป็น วินๆทั้งคู่ สมมติถ้า Big4 accounting firms รวมกันทำหลักสูตรละ และบอกว่าได้งานแน่นอน มันน่าสนใจอยู่นะ ถ้าเอาใกล้ตัวเข้ามาอีกก็ปัญญาภิวัฒน์แหละมั้ง

มันเป็นเพียงรูปแบบการเทรนนิ่งแบบหนึ่งเท่านั้นเอง ไม่ต้องไปนั่งกังวัลเรื่องต้นทุนขยะที่ไม่ทำให้ชีวิตดีขึ้นพวก ค่าบำรุงการศึกษาสมัยเด็กๆ ค่าชุดนักเรียน กระเป๋า แต่ไม่อยากจะเล่ายาว แค่นี้ก็ขี้เกียจอ่านกันแระ

แต่ความรู้เกือบ 90% ของโลก ส่วนใหญ่เป็นภาษาอังกฤษ ถ้าฝึกได้ก็ฝึก มันไม่ได้มีแค่ประเด็นการสื่อสารแล้ว มันคือการเปิดคลังความรู้ของโลก น้อยนักที่ความรู้ดีๆจะเป็นภาษาไทยจริงมั๊ย ดังนั้นกำแพงด้านภาษาเป็นสิ่งสำคัญ

 

และสิ่งที่คนส่วนใหญ่มักเข้าใจผิด เรียนสูง เรียนเยอะแล้วจะรวย ความรู้ไม่เกี่ยวกับความรวย มันเหมือนหนังสือดีกับหนังสือขายดีแหละ มันไม่เหมือนกัน หนังสือดีไม่จำเป็นต้องขายดี หนังสือขายดี ไม่จำเป็นต้องเป็นหนังสือดีก็ได้

ความรู้ทำให้เราเข้าถึงโอกาสมากกว่าความไม่รู้ แต่จะรวยไม่รวยอยู่ที่การลงมือทำลองผิดลองถูก หลายคนวาดฝันว่าอยากรวยมีเยอะนะ ไอเดียก็ดี ความคิดก็ดี แต่เสือกไม่ค่อยลงมือทำไงมันเลยไม่รวยซะที ยังไม่พร้อมบ้าง ไม่มีทุนบ้าง ไม่มีเวลาบ้าง ถ้ายังมีเวลาดูละคร ดูซีรี่ย์ กินเหล้า แสดงว่ายังมีเวลา มัวแต่อ่านคำคมคนรวยอยู่นั่นแหละ คนรวยแล้วพูดไรก็ถูกหมดแหละ อย่าไปเชื่อมาก ลองทำเลย

และเราก็ไม่จำเป็นที่ต้องมีความรู้สุดขอบจักรวาลเพื่อทำงานหรือขายสินค้า เราแค่มีความรู้มากกว่าลูกค้าที่จะขายงานหรือสินค้าให้ก็พอแล้ว

ทั้งหมดเป็นความเห็นส่วนตัวล้วนๆ อย่าด่าผม 55หลายคนอ่านจบแล้ว เออหว่ะ กุไม่เรียนแมร่งแระมันไม่ใช่อย่างนั้นนะ ถ้าจะออกมาต้องรับผิดชอบตัวเองได้ แต่ไม่ควรใช้เหตุผลนี้ซัพพอร์ตความอินดี้ ความขี้เกียจของตัวเอง จริงจังกับมันพอรึยัง ก่อนจะยอมแพ้ ยังไงชีวิตก็ควรมีแผนสำรอง อย่าเลือก ทำคู่ไปพร้อมกันได้ บริหารเวลาดี ความสำเร็จขึ้นอยู่กับเวลาที่เราพึงบริหารได้ และสุดท้ายคบเพื่อนดีๆ

ผมโชคดีที่รอบตัวผมมีแต่คนเก่งคนบ้า แข่งกันอ่านหนังสือปีละไม่ต่ำกว่า 200 เล่ม พี่ๆรอบตัวที่ระดับร้อยล้านพันล้านหลายคน วันๆทำ To do lists ได้ตั้ง 8-15 อย่าง มันเลยสำเร็จไง

วันๆนึงเราทำงานได้กี่อย่างถามตัวเองดู ผมเคยบ้าพลังเข้าสัมมนาเล่นทั้งปีเกือบ 70 ที่ ในทุกๆเรื่องและทุกวงการ หุ้น Bitcion Startup Sale Export Fashion Beauty DigitalMarketing Programing UI Design RE ทุกๆคนรอบตัวพัฒนาตัวเองอยู่เรื่อยๆ มันเลยสนุก และอย่าลืมว่าเราอยู่ประเทศไทย ยังไงน้อยๆ ป.ตรี ควรมี

PS ปีนี้จะพยายามเเชร์มุมมองของตัวเองทิ้งไว้บ่อยๆนะครับ ทั้งการบริหารชีวิต บริหารเวลา การขาย การบริหารคน การวางระบบงาน โมเดลธุรกิจ หุ้น ฝากติดตามด้วยนะครับ

ส่วนบทความต่อผมจะเขียนเรื่องการบริหารเวลาชีวิต วิธีทำงานแบบคนขี้เกียจแต่เสือกรวย ใครเคยอ่านหนังสือ 4hour workweek ของ Tim ferriss มาจะเกทมาก แล้วเจอกันครับ

ขอบคุณที่อ่านจบ คุณคือคนคุณภาพ 55 คิดเห็นยังไงลองมาแลกเปลี่ยนกันดูครับ

 

 

 

⚠ แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม 
warrior B's profile


โพสท์โดย: warrior B
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
20 VOTES (4/5 จาก 5 คน)
VOTED: cutiebarbie, คุณท่าน, ฮาโตโนะ, pyramid
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
หนุ่มเร่ขาย "ลาบูบู้" กลางสี่แยก..ทำเอาหลายคนแห่ถามพิกัดสาวแทบช็อก! เจอค่าไฟสุดโหด..เดือนเดียวพุ่ง 77 ล้านบาทแม่จีนโกรธจัดตบลูกชายหน้าหัน เหตุเพราะแอบดูสาวในห้องน้ำ จนตำรวจตามจับถึงบ้าน เเม่สุดเอือมเพราะนี่ไม่ใช่ครั้งเเรก😌ทำไมจู่ๆ lกย์ 700 คนถึงพร้อมใจกัน "ฟ้องร้องแอป Grindr"ทำรากฟันเทียม แต่หน้ากลายเป็นสัตว์ประหลาดหนุ่มเครียด! สอบติดอัยการผู้ช่วย ควรเลิกกับแฟนที่เป็นพนักงานบริษัทดีไหม?5 สาเหตุ ที่คนแก่ยึดติดกับอะไรเดิม ๆเขมรดราม่า วิจารณ์กันเอง! หลังเห็นมังกรที่ทำขึ้นมา? ลั่น มังกรหรือหนอนน้ำ!😃พิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์แต่โบราณ พรานผึ้งป่าทำพิธีขอขมาพญาผึ้งเพื่อปาดผึ้งเดือน 5
Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
5 สาเหตุ ที่คนแก่ยึดติดกับอะไรเดิม ๆสาวแทบช็อก! เจอค่าไฟสุดโหด..เดือนเดียวพุ่ง 77 ล้านบาทพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์แต่โบราณ พรานผึ้งป่าทำพิธีขอขมาพญาผึ้งเพื่อปาดผึ้งเดือน 5ประเทศที่นิยมใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากที่สุดในโลกอยากกินไหมไส้กรอกแรคคูนจากเยอรมัน
ตั้งกระทู้ใหม่