จารีตสุดโหดในทิเบต "ขันเชือกรัดจนกระทั่งตาถลนออกมา จากนั้นใช้มีดตัดสายลูกตาออก แล้วหยอดน้ำมันร้อนลงไป"
"ขันเชือกรัดจนกระทั่งตาถลนออกมา จากนั้นใช้มีดตัดสายลูกตาออก แล้วหยอดน้ำมันร้อนลงในกระบอกตา" จารีตนครบาล สุดโหดในทิเบต
วันที่ 28 มีนาคมของทุกปี ในประเทศจีนถือเป็นวันปลดปล่อยไพร่ติดที่ดินทิเบต เป็นการรำลึกวีรกรรมที่รัฐบาลจีนปลดปล่อยดินแดนดังกล่าวจากความล้าหลังกดขี่
รัฐบาลจีนคอมมิวนิสต์นั้นเห็นว่า ประชาชนทิเบตก่อนปลดปล่อยตกทุกข์ได้ยากจากน้ำมือของชนชั้นเจ้าที่ดิน และผู้นำศาสนาชั้นสูง ผู้คนไม่มีผืนนาไร่ทำกิน ต้องทำงานเลี้ยงชีพไปวันๆ บนที่ดินของภิสิทธิ์ชน
ต้องผูกมัดตัวเองกับสัญญาทาส กับกฎหมายศักดินาเป็นไพร่ติดที่ดินชั่วลูกหลาน ไม่อาจปลดเปลื้องตัวเองได้ หากยากจนไม่มีอะไรจะกิน ต้องขายลูกเป็นทาสเพื่อความอยู่รอด
ที่เลวร้ายกว่านั้น ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายโบราณโหดร้าย หากละเมิดกฎหรือทำผิดร้ายแรงต้องถูกตัดอวัยวะ แขน ขา หรือรุนแรงที่สุดคือ ควักลูกตาออกมาทั้งสองข้าง
หลังการปดปล่อยแล้ว รัฐบาลจีนได้ถ่ายภาพไพร่ที่ถูกลงทัณฑ์ไว้น่าเวทนาอย่างยิ่ง การลงทัณฑ์ทื่พบเห็นได้คือ ตัดแขน ตัดขา ควักตา ตัดศีรษะดองในโหล ถลกหนังทั้งตัวไม่เว้นลูกเด็กเล็กแดง หรือถลกแค่หนังหน้าก็มี
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายทิเบตพลัดถิ่นและนักวิชาการตะวันตกยืนยันว่า ไพร่ทิเบตอยู่ในสัญญาแต่มีเสรีภาพไม่น้อย อีกทั้งก่อนจีนรุกรานสังคมทิเบตเป็นสังคมพุทธในอุดมคติ ไม่ได้เลวร้ายป่าเถื่อน ถึงขั้นมีการลงทัณฑ์ประเภท "จารีตนครบาล"
"จารีตนครบาล" เป็นศัพท์โบราณเกี่ยวกับกฎหมาย ในพจนานุกรม ฉบับของอาจารย์เปลื้อง ณ นคร อธิบายว่า เป็นการไต่สวนจำเลย ด้วยการทรมานต่างๆ เช่น...
ตอกเล็บ และบีบขมับ เป็นต้น แต่อันที่จริงมันมีมากกว่านั้น และโหดร้ายทารุณมาก จนคนสมัยนี้จินตนาการไม่ออกเลยทีเดียว
จะว่าไปแล้วลักษณะการลงโทษด้วยการตัดแขน ตัดขา ควักตา ถลกหนังในทิเบต ดูเครือๆ กับจารีตนครบาลของไทยโบราณ แต่โหดในอัตราที่ทำจริงได้ ไม่ใช่เขียนขู่ไว้ในตำรากฎหมายเท่านั้น
แต่ฝ่ายคัดค้านนอกจากจะปฏิเสธการมีอยู่ของจารีตนครบาลทิเบตแล้ว ยังระบุด้วยว่า ภาพที่เห็นเป็นการลงทัณฑ์ในแถบภาคตะวันออกใกล้ๆ เสฉวน
ซึ่งได้รับอิทธิพล "ความเหี้ยมโหด" จากชาวฮั่น อีกทั้งหลังการรุกราน รัฐบาลจีนยังใช้ภาพเหล่านี้โฆษณาชวนเชื่อให้เห็นว่า สังคมเก่าเลวร้าย ชอบธรรมแล้วที่ต้องรุกราน
เรื่องที่จีนยึดทิเบตมีประวัติศาสตร์ที่ซับซ้อนเกินกว่าจะเล่าได้หมดในบทความเดียว โดยคร่าวๆ แล้ว ทิเบตเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ หากไม่ตกเป็นของจีน อินเดียก็หวังจะได้
อย่างที่ในเวลานี้มีข่าวการเผชิญหน้าระหว่าง จีน กับ อินเดีย ที่พรมแดนทิเบต ชาติตะวันตกก็ปรารถนารถนาดินแดนนี้มานับร้อยปีแล้ว เพราะมีทรัพยากรมากมาย
รัสเซียก็ปรารถนามาก โดยสรุป หากไม่โดนจีนยึดก็ถูกรุกรานจากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดแน่นอน ยิ่งทิเบตไม่ยอมปฏิรูปรัฐศักดินาโบราณให้เป็นรัฐสมัยใหม่ด้วยแล้ว โอกาสรอดยิ่งยาก
ไม่ว่าจะโต้เถียงกันเพียงใดก็ตาม ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า การลงทัณฑ์ด้วยการทำลายอวัยวะมีอยู่จริง และหนึ่งในบุคคลที่ถูกลงทัณฑ์ด้วยจารีตนครบาลคนท้ายๆ คือ จีเพิน ลุงชาร์ ขุนนางใหญ่ในสมัยดาไลลามะ องค์ที่ 13
ได้รับมอบหมายให้เดินทางไปดูแลนักศึกษาชาวทิเบตในอังกฤษและยุโรป ได้เห็นความเจริญก้าวหน้าของที่นั่น จึงคิดจะปฏิรูปทิเบตให้ทันสมัย โดยมีระบบกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญอังกฤษเป็นตัวอย่าง
เมื่อกลับมาจากยุโรป ลุงชาร์ เริ่มการรณรงค์ทางการเมืองปฏิรูปกองทัพให้ทันสมัย ริเริ่มจัดเก็บภาษีอภิสิทธิ์ชนและเจ้าที่ดิน รวมถึงวัดที่ครองสมบัติมากมาย จึงสร้างศัตรูไปทั่ว
กระทั่งต่อมาเพลี่ยงพล้ำให้กับฝ่ายอนุรักษ์นิยม ถูกใส่ร้ายว่าทำคุณไสย (ซึ่งไม่น่าจะมีในความคิดของนักปฏิรูปจากยุโรป) แล้วจับกุมขังคุกใต้พระราชวังโปลาตา จากนั้นถูกลงทัณฑ์จารีตนครบาลด้วยการควักลูกตาทั้งสองข้าง
" ว่ากันว่า การควักลูกตาต้องทำโดยวรรณะจัณฑาล ต้องใช้ยาชาก่อน จากนั้นใช้เชือกหนังรัดศีรษะแบบขันชะเนาะ แล้วค่อยๆ ขันเชือกรัดจนกระทั่งตาถลนออกมา จากนั้นใช้มีดตัดสายลูกตาออก แล้วหยอดน้ำมันร้อนลงในกระบอกตา "
หลังถูกลงทัณฑ์อีก 4 ปีต่อมา ลุงชาร์เสียชีวิต ฝ่ายอนุรักษ์นิยมครองแผ่นดิน ดับฝันการปฏิรูปพร้อมกับการนับถอยหลังทิเบตไปสู่จุดจบ
ลุงชาร์ บอกกับลูกชายของเขาก่อนตายว่า ที่ผิดพลาดล้มเหลวไม่อาจโทษใคร เพราะตัวเขาเองไม่ใช้กำลังเข้าเปลี่ยนแปลงเอง
อีก 12 ปีต่อมา กองทัพปลดปล่อยประชาชนจีนรุกราน หรือ "ปลดปล่อยทิเบต" ยกเลิกฐานันดรทั้งหมด ทำลายสัญญาทาสติดที่ดินทิ้ง แต่ขณะเดียวกันก็ทำลายสถาบันศาสนาจนย่อยยับ
เพราะเห็นว่าศาสนา (หรือขุนนางพระ) มีส่วนในการ กดขี่ไพร่เช่นกัน น่าแปลกที่ทัศนะของลุงชาร์ที่ยอมรับว่าควรใช้กำลังเปลี่ยนแปลง กลับตรงกับทัศนะของเหมาเจ๋อตงผู้รุกรานที่ว่า "อำนาจรัฐได้มาด้วยกระบอกปืน"
ทิเบตเป็นดินแดนที่มีขนาดใหญ่โตมโหฬาร แต่มิได้มีเอกภาพเหมือนที่เห็นในแผนที่ ในทางวัฒนธรรม และการเมืองทิเบตแตกเป็นส่วนๆ เป็นดินแดนมากมายในขอบขัณฑสีมา
มีการชิงอำนาจระหว่างลามะนิกายต่างๆ มาตั้งแต่ยุคราชวงศ์หยวนลงมาถึงยุคปัจจุบัน ในยุคสาธารณรัฐจีนนั้นพื้นที่บางส่วนเป็นของขุนศึกมุสลิมในชิงไห่ พื้นที่บางส่วนอังกฤษยึดไป บางส่วนเขตอิทธิพลรัสเซีย
นอกจากนี้ ในช่วงมหาสงคราม สายลับญี่ปุ่นเข้ามาป้วนเปี้ยน นาซีเยอรมันก็ส่งทีมมาค้นหาอารยธรรมของชาวอารยัน
ทิเบตจึงเป็นดินแดนที่ทุกคนหมายปอง แต่รัฐบาลทิเบตไม่ได้ทำอะไรจริงจัง เพื่อพร้อมรับกับยุคโมเดิร์น ทั้งยังไปฆ่าฝ่ายปฏิรูปด้วยจารีตนครบาลเสียอีก
เมื่อเหมาเจ๋อตงยกทัพเดินทางไกลหนีการไล่ล่าของเจียงไคเช็กผ่านเฉียดๆ ทิเบตยังถูกชนกลุ่มต่างๆ โจมตีขับไล่ซ้ำเติม สาเหตุหนึ่งคงเพราะลามะชั้นสูง ต่างรับตราตั้งจากเจียงไคเช็ก
จึงสวามิภักดิ์กับรัฐบาลที่หนานจิง เหมาคงแค้น เมื่อครองแผ่นดินจีนได้ เลยส่งทัพมาปราบเสีย เรื่องนี้การเมืองซับซ้อนมาก
Cr. กรกิจ ดิษฐาน / wikipedia.org