กลยุทธ์ใหม่ซีพี ยกระดับสู่สากล รักษาสมดุลรอบด้าน เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน
สัปดาห์ที่แล้ว เครือเจริญโภคภัณฑ์ประกาศเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งทุกบริษัทในเครือฯ ต้องบรรลุร่วมกันภายในปี 2563 มีรายละเอียดสำคัญหลายประการตามที่สื่อหลายสำนักได้ลงข่าวไปแล้ว ส่วนใหญ่เป็นเรื่องใหม่ที่เพิ่งเปิดเผยต่อสาธารณะ ไปดูกันว่า ซีพีคิดใหม่ทำใหม่มีอะไรน่าสนใจบ้าง
- ช่วง 2 – 3 ปีที่ผ่านมาซีพีมีการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์และกระบวนการภายในองค์กรหลายประการสู่เส้นทางของการพัฒนาที่ยั่งยืน จุดนี้เกิดจากเจตนารมณ์ที่แน่วแน่ของ นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ ที่ต้องการจะดำเนินธุรกิจบนพื้นฐานของการรักษาสมดุลทั้ง 3 ด้าน คือ ธุรกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งมุ่งมั่นที่จะร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืนของประเทศ โดยมีนโยบายที่จะผลักดันการพัฒนาอย่างยั่งยืนของชุมชนและสังคมในทุกแห่งที่เครือฯ เข้าไปดำเนินธุรกิจ ซึ่งหากย้อนกลับดูบทบาทของคุณศุภชัยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จะเห็นว่าได้ลงไปมีบทบาทในการดำเนินการเพื่อสังคมร่วมกับหลายภาคส่วน เช่น โครงการปิดทองหลังพระ
- ซีพีนำเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ หรือ SDGs (Sustainable Development Goals) เข้าไปไว้ในเป้าหมายของการดำเนินธุรกิจของเครือฯ ซึ่งนับเป็นองค์กรธุรกิจแรกของไทยที่เดินตามแนวทางนี้ พร้อมกับประกาศเป้าหมายและพันธสัญญาด้านการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์กรต่อสาธารณะ ซึ่งนั่นย่อมหมายความว่า การทำธุรกิจของเครือฯ ต้องอยู่บนพื้นฐานของความยั่งยืน โดยที่ทุกบริษัทย่อยในเครือฯ ที่เคยมีกลยุทธ์ของตนเอง ต่างคนต่างทำ จากนี้ไปจะมีแนวทางที่ต้องบรรลุร่วมกัน ซึ่งซีพีเองก็เชื่อมั่นว่า การตั้งเป้าหมายเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยขับเคลื่อนธุรกิจตามแนวทางนี้จะเป็นแรงสำคัญที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวก ทั้งต่อการดำเนินธุรกิจของเครือฯ ประเทศไทย และสังคมโลก
- ซีพีได้จัดทำรายงานความยั่งยืนขึ้นเป็นครั้งแรก [ซึ่งในรายงานได้ประกาศเป้าหมายและตัวชี้วัดการพัฒนาที่ยั่งยืน พ.ศ. 2563 (CP Group Sustainability Goals 2020) เพื่อให้ทุกกลุ่มธุรกิจในเครือฯทั่วโลกดำเนินการเพื่อบรรลุ 12 เป้าหมายแห่งความยั่งยืน ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ หรือ SDGs]
- ซีพีตั้งเป้าหมายให้เครือฯ อยู่ในระดับสากล (World Class) นอกเหนือจาก 3 บริษัทที่ปีนี้ได้รับคัดเลือกโดย 3 สถาบันด้านความยั่งยืนระดับโลกแล้ว (DJSI, WBCSD และ FTSE4Good Emerging Index) โดยจะขยายการดำเนินงานในการวัดผลด้านความยั่งยืนและการจัดทำรายงานความยั่งยืนไปยังบริษัทสาขาของเครือฯ ใน 20 ประเทศทั่วโลก และมีเป้าหมาย 10 ปีข้างหน้า จะได้รับคัดเลือกเป็นบริษัทที่มีความยั่งยืนอยู่ในระดับ Top 20 หรือ Top 30 ของโลกด้วย
- ซีพีเปิดเผยงบประมาณโครงการทางสังคม ในช่วงเวลา 3 ปีที่ผ่านมา (2015 – 2017) ซึ่งได้ใช้งบประมาณไป 15,700 ล้านบาท หรือประมาณ 450 ล้านเหรียญสหรัฐ ในโครงการต่อไปนี้
- งบประมาณโครงการด้าน CSR และ เงินบริจาค รวม 3,000 ล้านบาท (มูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์ + มูลนิธิพัฒนาชีวิตชนบท + CPF, CPALL, TRUE)
- ทุนการศึกษาเครือ + สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ + ทุน CPALL รวม 2,000 ล้านบาท
- งบประมาณโครงการผิงกู่ในประเทศจีน Pingu Project in China รวม 8,000 ล้านบาท
- งบประมาณลงทุนด้าน ICT Digital Connectivity โรงเรียนประชารัฐ รวม 2,700 ล้านบาท
นอกจากนี้ คุณศุภชัยยังบอกด้วยว่า นอกเหนือจากความช่วยเหลือในรูปแบบ CSR ที่ทำเป็นปกติอยู่แล้ว เครือเจริญโภคภัณฑ์ยังมีความมุ่งมั่นที่จะเข้าไปมีส่วนช่วยเหลือชุมชนและสังคมในรูแบบของ Social Enterprise หรือกิจการเพื่อสังคมให้มากขึ้น โดยถ่ายทอดองค์ความรู้ในส่วนที่องค์กรเชี่ยวชาญ เพื่อให้ชุมชนอยู่ได้ด้วยตัวเองอย่างยั่งยืน
6. ซีพีเตรียมจัดตั้งกองทุน Social Impact Fund ใน 5 ปี ซึ่งจะลงทุนในกิจการเพื่อสังคม (Social Enterprise) และโครงการ CSR ทั้งภาครัฐและภาคประชาสังคม โดยมีทุนเริ่มต้นประมาณ 1,000 – 2,000 ล้านบาท กองทุนดังกล่าวจะเข้าไปร่วมใน Social Enterprise ที่เครือฯ จัดตั้งขึ้น และอีกส่วนหนึ่งจะเป็นการเสาะแสวงหาผู้ประกอบการที่ดำเนินกิจการเพื่อสังคมหรือมีโครงการที่จะทำเพื่อแก้ความเหลื่อมล้ำของสังคม โดยต้องสามารถต่อยอดยอดเพื่อสร้างความยั่งยืนได้ ซึ่งเครือซีพีจะช่วยเสริมด้านองค์ความรู้และการตลาด เพื่อให้กิจการดำเนินไปได้อย่างยั่งยืน โดยเชื่อว่าแนวทางนี้จะช่วยยกระดับการดำเนินการในการสร้างคุณค่าทางสังคม ให้สามารถสร้างผลกระทบ สร้างการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นได้
นับว่าเป็นเรื่องใหม่และเรื่องใหญ่ที่น่าสนใจทีเดียว ประชาคมโลกกำลังจัดระเบียบกันใหม่ ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง องค์กรธุรกิจไทยเริ่มขยับตัวตอบรับเดินหน้าสู่ความยั่งยืน คำนึงถึงรอบด้าน ทั้งเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมไปพร้อม ๆ กัน ต่อไปเราคงได้เห็นความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นตามมาอีกมากมาย
ขอบคุณข้อมูลข่าวจาก Thaipublica, กรุงเทพธุรกิจ, MGROnline
แหล่งที่มา: ไทยพับลิก้า, กรุงเทพธุรกิจ, MGROnline






