ตื่นได้แล้ว ! เมื่อ "นักวิทยาศาสตร์" "นักวิจัย" เกือบทั่วโลก ค้นพบ “บุหรี่ไฟฟ้า” ช่วยลดอันตรายจากโรคภัย ร่วมผลักดันให้เกิด "ทางเลือกเพื่อสุขภาพ" แล้วไทยล่ะ ?
Science : กองบรรณาธิการข่าว เว็บไซต์สุขภาพ medhubnews.com รายงานว่า หัวข้อข่าวจากสื่อดัง “E-cigarette bans highlight public health divide between US and UK researchers” เป็นสิ่งที่ท้าทายต่อนักวิจัยด้านสาธารณสุขให้สามัคคี ต่อการเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมยาสูบครั้งสำคัญ และ น่าสนใจต่อการศึกษา พัฒนา และ มีส่วนร่วมผลักดันให้เกิดทางเลือกเพื่อสุขภาพ
“หลายๆ ประเทศ นักวิจัยได้ค้นพบว่า การใช้บุหรี่อิเล็กทรอนิกส์กลายเป็นวิธีที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในการเลิกสูบบุหรี่ขณะที่นักวิจัยอีกกลุ่มหนึ่งระบุว่า วัยหนุ่มสาวที่สูบบุหรี่อิเล็กทรอนิกส์นั้นไม่มีแนวโน้มจะสูบบุหรี่มากขึ้นเลย”
งานวิจัยล่าสุดจากมหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ ชี้ว่า อายุของชาวอเมริกันกว่า 6.6 ล้านที่เสียชีวิตก่อนวัยสามารถเพิ่มขึ้นได้อีก 10 ปี ถ้าผู้สูบบุหรี่เปลี่ยนไปใช้บุหรี่ไฟฟ้า และบุหรี่ไฟฟ้าควรเป็น "จุดสิ้นสุด" ของการสูบบุหรี่
นายเดวิด เลวี่, นักวิจัยจากศูนย์การแพทย์ มหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ระบุผลวิจัยสามารถช่วยศัลแพทย์ทั่วประเทศ รวมไปถึงผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขพัฒนายุทธศาสตร์เพื่อยุติการใช้บุหรี่ซิกาแรต ซึ่งอันตรายต่อสุขภาพกว่าบุหรี่ไฟฟ้าหลายเท่า ผู้เชี่ยวชาญจำนวนมาก อาทิ กระทรวงสาธารณสุข สหราชอาณาจักร สนับสนุนบุหรี่ไฟฟ้าเป็นทางเลือกแก่ผู้ที่ต้องการเลิกบุหรี่
ผลวิจัยจากวารสารโทแบคโค คอนโทรล ( Tobacco Control) แสดงผลการทดลองจากกรณีเลวร้ายที่สุด (worst case scenario) และดีที่สุด ( best case scenario )
เมื่อผู้สูบหันมาใช้บุหรี่ไฟฟ้าแทนบุหรี่ซิกาแรต พบว่า มีจำนวนผู้สูบกว่า 1.6ล้านคนที่มียายุยืนยาวขึ้น ในกรณีที่เลวร้ายที่สุด ส่วนกรณีที่ดีที่สุดอาจมีจำนวนผู้สูบถึง 6.6 ล้านคนที่ไม่ต้องเสียชีวิตก่อนวัยอันควร
"นอกจากนี้ การใช้บุหรี่ไฟฟ้ายังมีผลบวกด้านสุขภาพ ได้แก่ ลดความเสี่ยงของการเป็นโรคต่างๆ, ลดความเจ็บปวดทรมาน และป้องกันความเสี่ยงจากการควันบุหรี่มือสอง ( second hand smoke)
ผลประโยชน์เหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญที่ควรนำมาพิจารณาแทนที่จะต่อต้านก่อนศึกษาข้อมูลที่แน่ชัดเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์นิโคตินรุปแบบใหม่" นายจอน บริตตัน, ประธานศูนย์วิจัยยาสูบและ แอลกอฮอล์ซศึกษาแห่งมหาวิทยาลัยนอตทิงแฮม กล่าว
อย่างไรก็ตาม การศึกษาเรื่องบุหรี่ไฟฟ้ายังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ หลายฝ่ายต้องการให้มีการศึกษาในระยะยาวถึงผลกระทบของบุหรี่ไฟฟ้าต่อสุขภาพของผู้ใช้อย่างแน่ชัด
แต่บางประเด็นที่คุณหมอเอ็นจีโอที่รับเงินจากภาษีเหล้าบุหรี่ของไทยมาใช้รณรงค์อย่างฟุ่มเฟือย ออกมาเน้นย้ำคือ การเข้าถึงของเยาวชน ( ซึ่งแก้ไขได้ ) และ อุปกรณ์ที่อาจไม่ปลอดภัย หรือไม่ได้มาตรฐาน
เสียงที่แพทย์ออกมาระบุว่า อุปกรณ์ที่อาจไม่ปลอดภัย หรือ ไม่ได้มาตรฐาน ถูกนำมาย้ำๆ เดิมๆ เป็นสิ่งที่ทำได้ง่ายมาก โดยหน่วยงาน สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ( สมอ.)
ดังนั้นจึงทำให้เห็นทางออกที่สำคัญ ถึงการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมยาสูบ และ การผลักดันให้เกิดทางเลือกเพื่อสุขภาพ ไม่ปิดโอกาสการเข้าถึงอุปกรณ์ช่วยชีวิตของเขา
เมื่อการรณรงค์ไม่ได้ผล สิ่งสำคัญในเวลานี้ การช่วยเหลือประชาชนกลุ่มผู้สูบบุหรี่ หรือ ญาติพี่น้อง บุคคลใกล้ชิด เช่น พ่อ แม่ พี่ น้อง ลูกหลาน ที่ต้องแอบสูบบุหรี่มวนได้รับสารพิษ 100 % หรือ ผู้บริหารที่ต้องแอบสูบบุหรี่มวนเพื่อสถานะทางวิชาชีพ ฯลฯ
อยากให้พวกเขาได้มีชีวิตยืนยาวเหมือนคนปกติ มีสุขภาพที่ดีกว่าเดิม มีการออกกำลังกาย รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ถือเป็นการส่งเสริมสุขภาพที่ถูกทาง และ เป็นการดูแลสุขภาพตัวเองในขั้นปฐมภูมิอย่างแท้จริง
ส่วนกลุ่มคนทั่วไป โดยเฉพาะ เด็ก และ เยาวชน ต้องห้ามอย่างจริงจัง เพราะการสูบบุหรี่มวน ทำให้สมองเสีย อวัยวะไม่แข็งแรง เจ็บไข้ได้ป่วย ต้องช่วยกันทำความดีชักชวนให้คนเลิกบุหรี่ ผู้บังคับใช้กฏหมายจะต้องเข้มงวดมากขึ้น
เราเดินหลงทางมา 15 ปี ถึงเวลาที่เจ้าหน้าที่ ซึ่งทำงานโดยใช้ภาษีประชาชน หรือ ภาษีบาป.....ต้องทำอย่างถูกทิศ ถูกทาง ซะทีได้แล้วค่ะ