อิสลามคือระบอบแห่งการดำเนินชีวิต
โดย..ซุฟอัม อุษมาน
ถ้าหากศาสนาหมายถึงความเชื่อ พิธีกรรมหรือวิธีปฏิบัติจำเพาะบางประการแล้ว อิสลามย่อมเป็นมากกว่าศาสนา เพราะพระผู้เป็นเจ้าได้ประทานบัญญัติต่างๆ มากมายที่ครอบคลุมวิถีแห่งการดำเนินชีวิตของมนุษย์ในทุกๆ ด้านทั้งหมด คำสอนของอิสลามเข้าถึงทุกกระบวนการและกิจกรรมแห่งชีวิต อันหมายรวมถึงความเชื่อ จิตวิญญาณ ร่างกาย การปฏิบัติศาสนกิจ พิธีกรรม การอบรม ครอบครัว เรื่องส่วนตัว สังคม บ้านเมือง โลก สรรพสิ่งทั้งหมดทรัพยากรธรรมชาติ ความรู้ วิทยาการ ศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณี ประวัติศาสตร์ อนาคต การเมือง การบริหารจัดการ การปกครอง การเชื่อมสัมพันธ์ และยิ่งไปกว่านั้น อิสลามเข้าไปมีบทบาทและหยั่งลึกในความรู้สึกนึกคิด ความตั้งใจ และเจตนารมณ์ของมนุษย์อีกด้วย
ความละเอียดอ่อนในเรื่องคำสอนและบทบัญญัติของอิสลามเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์อย่างยิ่ง และเห็นประจักษ์ชัดในทุกอิริยาบถของผู้เป็นมุสลิม แม้แต่ในเรื่องการดื่มกิน การถ่าย การหลับนอน การชำระล้างร่างกาย การแต่งกาย การเชือดสัตว์ การทำอาหาร การซื้อขาย การแต่งงาน การหย่าร้าง การแสวงหาปัจจัยยังชีพ การคบค้าสมาคม และอื่นๆ หรือแม้กระทั่งการตั้งเจตนาและการนึกคิด ล้วนแล้วต้องอยู่ในกรอบของคำสอนและบทบัญญัติอิสลามทั้งสิ้น
"เด็กน้อยเอ๋ย จงกล่าวพระนามของอัลลอฮฺ จงกินด้วยมือขวาจงกินสิ่งที่อยู้ใกล้ตัวเจ้าก่อน"
(รายงานโดยอัล-บุคอรีย์ และมุสลิม)
"แท้จริงการกระทำต่างๆ นั้นอยู่ที่การตั้งเจตนา และทุกๆ คนจะได้รับผลตามที่เขาเจตนา"
(รายงานโดยอัล-บุคอรีย์ และมุสลิม)
ชาวยิวได้กล่าวแก่ท่านซัลมาน อัล-ฟาริซีย์ สาวกผู้หนึ่งของท่านศาสนทูต ว่า "แท้จริงนบีของพวกท่านได้สอนพวกท่านทุกอย่างแม้กระทั่งการขับถ่าย"
ท่านซัลมานได้กล่าวตอบว่า
"ใช่ แท้จริงท่านศาสนทูตได้ห้ามเรา ไม่ให้หันไปทางกิบลัต (ทิศที่มุสลิมใช้ผินหน้าในการละหมาด) เวลาที่เราจะถ่ายเบาหรือถ่ายหนัก ท่านได้ห้ามเราไม่ให้ชำระล้างจากการขับถ่ายด้วยมือขวา หรือล้างน้อยกว่าสามครั้ง และห้ามไม่ให้เราใช้มูลและกระดูกสัตว์ในการเช็ดถู"
(รายงานโดย มุสลิม)
บทบัญญัติต่างๆ ของอิสลามทั้งที่เป็นข้อบังคับใช้และคำสั่งห้าม ล้วนตั้งอยู่บนผลประโยชน์แห่งปัจจัยพื้นฐานห้าประการที่อิสลามให้ความสำคัญ คือ ศาสนา ชีวิต ทรัพย์สิน เกียรติ และปัญญาของพวกเขา และไม่มีสิ่งใดที่อิสลามสั่งห้ามเว้นแต่มันย่อมต้องมีผลร้ายต่อมนุษย์อีกเช่นกัน ท่านศาสนทูตมูฮัมมัด มิได้จากโลกนี้ไป เว้นแต่ได้สั่งกำชับในสิ่งที่ดีทุกประการ และสั่งห้ามจากสิ่งชั่วร้ายทั้งหลายทั้งปวง เพื่อเป็นบรรทัดฐานสำหรับการดำเนินชีวิตของประชาชาติตลอดไป
อัลกุรอาน อันเป็นคัมภีร์แห่งพระผู้เป็นเจ้าได้กล่าวถึงเรื่องราวต่างๆ ทั้งหมดของมนุษย์ นับตั้งแต่เรื่องที่ยิ่งใหญ่จนถึงเรื่องละเอียดอ่อนเล็กๆ ที่สุด ทั้งเรื่องที่ถือว่าเป็นความหมายแห่งชีวิต และเรื่องที่ถือว่าเป็นความงดงามอันเป็นศิลปะที่มนุษย์สามารถสัมผัสและชื่นชม
"และเราได้ประทานลงมาแก่เจ้าซึ่งคัมภีร์อัลกุรอานนี้เพื่อชี้แจงถึงทุกสิ่งทุกอย่าง
เพื่อเป็นทางนำและความเมตตา และเป็นข่าวดีแก่บรรดามุสลิมผู้มอบตน"
(อัลกุรอาน 16 : 89)
ศาสนทูตแห่งอิสลาม เป็นทั้งศาสดาผู้ประกาศคำสอน เป็นพ่อบ้าน เป็นพ่อค้า เป็นครู เป็นมิตรสหาย เป็นเพื่อนบ้าน เป็นนักอบรม เป็นบิดา เป็นผู้นำ เป็นแม่ทัพ เป็นผู้ที่ผ่านร้อนผ่านหนาว ทุกข์โศก ดีใจและเสียใจ เป็นแบบอย่างที่มนุษย์ทุกระดับชั้นสามารถเข้าถึงและเอาเยี่ยงอย่างได้ ไม่ว่าจะเป็นผู้นำในทุกระดับ นักการศาสนา กรรมกร ชาวนา และปุถุชนทั่วๆ ไป
"ขอสาบานว่าแท้จริงแล้ว ในตัวของศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺนั้น มีแบบอย่างที่ดีสำหรับสูเจ้าทั้งหลายที่หวัง(จะพบ)อัลลอฮฺและโลกหน้า"
(อัลกุรอาน 33 : 21)
อิสลามจึงไม่มีการแบ่งแยกระหว่างนักการศาสนาและบุคคลธรรมดา จะมีก็แต่นักปราชญ์กับผู้ที่ไม่ใช่นักปราชญ์เท่านั้น แต่บุคคลทั้งสองประเภทมีสิทธิเท่าเทียมกันในการเข้าถึงพระผู้เป็นเจ้าและได้รับความโปรดปรานจากพระองค์ เพราะเกณฑ์แห่งความสำเร็จนั้นไม่ได้อยู่ที่ระดับความรู้ เกียรติยศศักดิ์ศรี ทรัพย์สมบัติ ชาติตระกูล หรือเผ่าพันธุ์ หากแต่อยู่ที่ความยำเกรง การปฏิบัติตามและเชื่อฟังพระผู้เป็นเจ้ามากกว่าสิ่งอื่นใด
"แท้จริงผู้ที่มีเกียรติยิ่งในหมู่พวกเจ้า ณ อัลลอฮฺ คือผู้ที่เปี่ยมด้วยความยำเกรงที่สุดในหมู่พวกเจ้า"
(อัลกุรอาน 49 : 13)
การสืบทอดโครงสร้างของอิสลามตั้งแต่ยุคแรกจนถึงปัจจุบันเป็นการสืบทอดความดั้งเดิมที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง คำสอนในคัมภีร์อัลกุรอานยังคงเป็นคำสอนเดิมที่ปราศจากการสังคายนาหรือเพิ่มเติมแก้ไขใดๆ ทั้งสิ้น
ดังนั้น อิสลามจึงเป็นระบอบแห่งการดำเนินชีวิตสำหรับมนุษย์ทั้งมวล และเพียงพอแล้วที่มนุษย์จะใช้อิสลามอันเป็นศาสนาแห่งพระผู้เป็นเจ้าเพื่อเป็นแสงสว่างนำทางในการดำเนินชีวิตของพวกเขา เพราะไม่มีคำถามใดๆ อีกที่เป็นความต้องการของวิสัยดั้งเดิมในตัวมนุษย์ เว้นแต่มันถูกกำหนดมาสมบูรณ์แล้วในบัญญัติแห่งอิสลาม อีกทั้งยังเพียบพร้อมด้วยความครอบคลุม และยืดหยุ่น เหมาะสมกับทุกสภาวการณ์ของชีวิต เพราะอิสลามเป็นระบอบแห่งการดำเนินชีวิตจากพระผู้เป็นเจ้า เป็นศาสนาที่พระองค์โปรดปราน
"แท้จริงศาสนา ณ อัลลอฮฺนั้นคืออิสลาม"
(อัลกุรอาน 3 : 19)
"วันนี้ ข้า(อัลลอฮฺ)ได้ทำให้ศาสนาของพวกเจ้านั้นสมบูรณ์แก่พวกเจ้าแล้ว
และข้าได้ให้ครบถ้วนแก่พวกเจ้าแล้วซึ่งการประทานแห่งข้า และข้าโปรดปราน(เลือก)อิสลามให้เป็นศาสนาของพวกเจ้า"
(อัล-กุรอาน 5 : 3)
Islamhouse