เราเข้าใจเกษตรกร...มากแค่ไหน?
เราเข้าใจกับโครงการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์หลังนา มากแค่ไหน?
จะปลูกข้าวลดลงจริงหรือ?
จากวิกฤติราคาข้าวตกต่ำที่สุดในรอบ 9 ปี ทำให้ชาวนาไทยมีรายได้จากการปลูกข้าวที่ลดลง ไม่คุ้มกับการลงทุนในการปลูกข้าว ต้องยอมรับว่าปัญหาราคาข้าวตกต่ำส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับกลไกของตลาด และคู่แข่งขันต่างประเทศที่สามารถผลิตข้าวส่งออกช่วงชิงโควต้าส่งออกข้าวของไทย ซึ่งเป็นปัญหาระดับชาติที่ยากจะแก้ไข แต่มีอีกหนึ่งปัญหาราคาข้าวตกต่ำของชาวนาที่สะสมมานานกลายเป็นปัญหาเรื้อรังและอยู่ใกล้ตัวชาวนาไทยมากที่สุด และเกิดวิฤกติแล้งหนัก ทำให้ปริมาณน้ำไม่เพียงพอ ชาวนาต้องแย่งน้ำกัน เพื่อสำหรับการเพาะปลูกข้าว
เพื่อแก้วิกฤติการบริหารจัดการน้ำ และวิกฤติรายได้ของชาวนาไทย จากสถิติพบว่า สาเหตุทรัพยากรน้ำที่ไม่เพียงพอสำหรับปลูกข้าวนาปรัง เพราะต้องใช้น้ำมากถึงไร่ละ 1200 – 3500 ลูกบาศก์เมตร แต่ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์มีการใช้น้ำเพียงไร่ละ 500 -700 ลูกบาศก์เมตร เท่านั้น
อีกหนึ่งเหตุผลข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ยังเป็นพืชที่มีความต้องการรับซื้อแน่นอน เช่น ตลาดอาหารสัตว์มีความต้องการมากถึง 7.8 ล้านตัน และรัฐมีราคากำหนดรับซื้อที่แน่นอน จากมาตรฐานกรมการค้า และลดปัญหาวัตถุดิบไม่เพียงพอต่อผลิต
สำหรับโครงการส่งเสริมปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ทดแทนการปลูกข้าวนาปรัง ถือว่าจะเป็นประโยชน์ช่วยเพิ่มรายได้ให้ชาวนาให้ช่วงฤดูแล้ง และปลูกพืชที่ต้องการของตลาด ลดปริมาณผลผลิตข้าวที่ล้นตลาด เพราะปัจจุบันประเทศไทยมีผลผลิตของข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ออกมา 3 ฤดูกาล ให้ผลผลิตแบบกระจุกตัว
ฤดูแรกเก็บเกี่ยวในช่วง สค.-พย. มีผลผลิตออมาสูงถึง 70% ของปริมาณผลผลิตทั้งปี
ฤดูที่สอง เก็บเกี่ยว ธ.ค.-ก.พ. ผลผลิตออกมา 25%
ฤดูที่สาม ข้าวโพดหลังนา เก็บเกี่ยว ม.ค.-พ.ค. มีผลผลิต 5%
จะเห็นได้ว่า ในฤดูสามช่วงข้าวโพดหลังนา สามารถผลิตได้แค่ 5 % เท่านั้น เกิดปัญหาของภาคอุตสาหกรรมมีปริมาณวัตถุดิบไม่เพียงพอ ทำให้ต้องมีการนำเข้ามาจากต่างประเทศ จึงทำให้ภาครัฐมองเห็นโอกาสที่จะส่งเสริมให้ชาวนาไทย ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ทดแทนการทำข้าวนาปรัง เพื่อมีรายได้จากผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เก็บเกี่ยว ม.ค. - พ.ค. ให้เพียงพอกับภาวะของตลาดได้
ปัจจุบันข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ที่มีความต้องการใช้ในประเทศกว่า 7.2 ล้านตัน ทำให้ประเทศไทยต้องนำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์อื่น ๆ เข้ามาเสริมชดเชยส่วนที่ขาด ดังนั้น จึงเห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชนเข้ามาร่วมกันจัดทำโครงการส่งเสริมการผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในพื้นที่เขตชลประทาน หรือพื้นที่ที่มีแหล่งน้ำทั่วไปที่มีน้ำเพียงพอตลอดฤดูเพาะปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เพื่อลดผลผลิตข้าว
โดยมอบหมายให้กรมพัฒนาที่ดินวิเคราะห์ความเหมาะสมของพื้นที่นาในฤดูแล้งเขตชลประทาน พบว่า พื้นที่ความเหมาะสมดินในการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์มาก (S1) และเหมาะสมปานกลาง (S2) รวมกันมีกว่า 8 ล้านไร่ และได้ให้กรมส่งเสริมการเกษตรทดลองนำร่องส่งเสริมการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ทดแทนข้าวรอบที่ 2 หรือข้าวนาปรังในปีที่ผ่านมา 9 จังหวัด พบว่า เกษตรกรสามารถผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ได้ผลผลิตเฉลี่ย 900 – 1,000 กิโลกรัมต่อไร่ มีกำไรจากการผลิตไร่ละ 2,000 – 4,000 บาท
สรุปสิ่งที่ชาวนาจะได้จากโครงการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ทดแทนนาปรัง คือ
1. ช่วยลดผลผลิตข้าวนาปรัง แก้ปัญหาผลผลิตที่มากเกินความต้องการของตลาดได้ ไม่น้อยกว่า 1.25 ล้านตัน
2. เพิ่มอุปทานข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่มีคุณภาพได้ราว 1.44 ล้านตัน เกิดความมั่นคงในห่วงโซ่อุตสาหกรรมการเลี้ยงสัตว์
3. เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการเพาะปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์แทนนาปรัง ไม่ต่ำกว่าไร่ละ 2,000 บาท
4. เกษตรกรได้เรียนรู้และมีประสบการณ์ นำไปสู่การจัดระบบการปลูกข้าวตามด้วยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์อย่างยั่งยืน”
ข้อสำคัญที่สุด คือ ชาวนามีอิสระ เลือกซื้อเมล็ดพันธุ์ ปุ๋ย จากบริษัทใดก็ได้ที่มีคุณภาพดี ส่วนทางด้านภาคเอกชนสนับสนุนวิชาการ อุปกรณ์วิเคราะห์ดิน และเทคนิคตรวจดิน เพื่อให้ผลผลิตกับรายได้ที่สูงสุด
สุดท้าย มีการประกันราคาผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่แน่นอน และสอดคล้องช่วงเวลาที่ต้องการผลผลิตของตลาด ส่งผลต่อรายได้ของชาวนาไทยให้มั่นคง และยั่งยืนแก่ครอบครัวต่อไป

