ทักท้วงพระไพศาล วิสาโล อย่าคิดแบบเทวทัต อย่าหมิ่นสิทธัตถะ
ตามที่พระไพศาลบอกว่าพระพุทธเจ้ามีความตั้งใจที่จะอยู่ป่าไปตลอดชีวิต อันนี้ไม่จริงพระพุทธเจ้าไม่เอาด้วยกับข้อเสนอของเทวทัต พระไพศาลยังว่าสมัยออกบวช พระองค์ยังเคยกลัวป่า กลัวเสียงสัตว์ป่า กระทั่งนกยูง พระองค์ก็กลัวจนขนลุกชันเลย อันนี้ถือเป็นการหมิ่นเจ้าชายสิทธัตถะหรือไม่ เพราะแม้แต่เจอพญามาร ยังไม่กลัว จะกลัวอะไรกับเสียงนกยูง
ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานกรรมการบริหาร ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย (www.area.co.th) ได้จัดทำ Clip เพื่อท้วงติงการเทศน์ที่อาจผิดความจริงของพระไพศาล วิสาโล เจ้าอาวาสวัดป่าสุคะโต ซึ่งเป็นรุ่นพี่ของ ดร.โสภณ และท่านมีอายุ 60 ปี และบวชมาแล้วถึง 34 พรรษา (นับแต่ปี 2526) ทั้งนี้เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องต่อพระพุทธศาสนาและมุ่งขจัดความมัวหมองแก่พระศาสดา เป็นการวิพากษ์ด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่ได้จาบจ้วงพระสงฆ์รูปใด
ในคลิปใน Youtube เรื่อง "ฟื้นฟูป่า รักษาธรรม" โดย "zen sukato" เผยแพร่เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2560 (http://bit.ly/2u5DQAj) ตั้งแต่นาทีที่ 4:34 พระไพศาลบอกว่าพระพุทธเจ้ามีความตั้งใจที่จะอยู่ป่าไปตลอดชีวิต ข้อนี้ผิดเพี้ยนจากความเป็นจริง เพราะครั้งหนึ่งพระเทวทัต ทูลขอให้ "ภิกษุทั้งหลายพึงถือการอยู่ป่าเป็นวัตรตลอดชีวิต รูปใดอาศัยบ้านอยู่ รูปนั้นพึงต้องโทษ" แต่พระพุทธเจ้าตอบว่า "อย่าเลย เทวทัต ภิกษุใดปรารถนา ภิกษุนั้นจงถือการอยู่ป่าเป็นวัตร รูปใดปรารถนา จงอยู่ในบ้าน. . ." (http://bit.ly/2wqDkh9)
พระไพศาลยังเล่าว่าขณะที่พระพุทธเจ้าสนทนากับชาณุโสณีพราหมณ์ผู้กลัวป่า พระองค์ก็บอกว่าสมัยออกบวชก่อนตรัสรู้ ก็เคยกลัวป่า เวลามีเสียงสัตว์ป่า ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ แม้กระทั่งเสียงนกยูง พระองค์ก็กลัวจนขนลุกชัน ข้อนี้ก็ไม่เป็นความจริง ในพระไตรปิฎก เล่มที่ 12 พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ 4 มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ (http://bit.ly/2vxINGe) ไม่ได้เขียนไว้เลยว่าพราหมณ์ผู้นี้กลัวป่า
พระองค์บอกว่า ". . .พระอริยะเหล่าใด มีกายกรรมบริสุทธิ์ ย่อมเสพเสนาสนะอันสงัด ที่เป็นป่าและเป็นป่าเปลี่ยว บรรดาพระอริยะเหล่านั้น เราก็เป็นพระอริยะองค์หนึ่ง ดูกรพราหมณ์ เราเห็นชัดซึ่งความเป็นผู้มีกายกรรมอันบริสุทธิ์นี้ในตนจึงถึงความเป็นผู้มีขนตก (ไม่ขนลุก) โดยยิ่ง เพื่ออยู่ในป่า" ในพระไตรปิฎกยังบอกว่าความกลัวเกิดแต่คนที่มีกายกรรม-วจีกรรมไม่บริสุทธิ์ คนที่มีความอยากได้ มีราคะกล้าในกามทั้งหลาย มีจิตพยาบาท มีความดำริในใจชั่ว มีถีนมิทธะกลุ้มรุม ฟุ้งซ่าน มีจิตไม่สงบระงับ มีความสงสัยเคลือบแคลง ยกตนข่มผู้อื่น เป็นผู้หวาดหวั่น มีชาติแห่งคนขลาด ปรารถนาลาภสักการะและความสรรเสริญ เป็นผู้เกียจคร้าน มีความเพียรเลวทราม มีสติหลงลืม ไม่มีสัมปชัญญะ มีจิตไม่ตั้งมั่น มีจิตหมุนไปผิด และมีปัญญาทราม เป็นใบ้นั่นเอง แต่พระองค์ไม่มีสิ่งเหล่านี้ตั้งแต่ก่อนออกบวชแล้ว
พระพุทธเจ้าไม่มีความกลัวมาก่อนบวชแล้ว แต่พระไพศาล คงอ่านเพียงท่อนนี้ จึงเข้าใจผิด "อยู่ในเสนาสนะ คืออารามเจดีย์ วนเจดีย์ รุกขเจดีย์ อันน่าสะพรึงกลัว น่าขนพองสยองเกล้า. . .เนื้อมาก็ดี นกยูงทำไม้ให้ตกลงมาก็ดี หรือว่าลมพัดใบไม้ให้ตกลงมาก็ดี. . .ความกลัวและความขลาดนั่นนั้นมาเป็นแน่. เรานั้นได้มีความดำริว่า อย่างไรหนอ เราจึงเป็นผู้หวังภัยอยู่โดยแท้ ไฉนหนอ ความกลัวและความขลาดนั้น ย่อมมาถึงเราผู้เป็นอยู่อย่างไรๆ เราผู้เป็นอยู่อย่างนั้นๆ แล พึงกำจัดความกลัวและความขลาดนั้นเสีย" พระองค์รู้เท่าทันความกลัวและรู้วิธีกำจัดความกลัว
ข้อสังเกตเกี่ยวกับเทศนาของพระไพศาลก็คือ
- การที่พระไพศาลมุ่งให้พระอยู่แต่ในป่า เป็นการคิดแบบพระเทวทัตหรือไม่
- การกล่าวว่าศาสดาของเรายังกลัวจนขนลุก อาจกลายเป็นการสร้างความมัวหมองแก่พระพุทธเจ้าหรือไม่
- พระไพศาลได้ชื่อว่าเป็น "พระป่า" จึงคงโปรดปรานการอยู่ป่า อย่างไรก็ตามในความเป็นจริงท่านรับกิจนิมนต์ไปทั้งในและต่างประเทศปีหนึ่งๆ ท่านคงอยู่วัดไม่นาน ถ้าอยู่ป่าก็คงอยู่เฉพาะในบริเวณ 500 ไร่ของวัดที่เอาที่ป่ามาล้อมรั้วไว้เป็นวัด (โดยไม่ได้ซื้อหา http://bit.ly/2u6Y68H" target="_blank" rel="nofollow">http_xi5v9xix_://bit.ly/2ufh3Bv และ http://bit.ly/2u6Y68H) และคงแทบไม่ได้ปลีกวิเวกเข้าป่าจริงๆ สักวันหรือไม่
- เป็นเรื่องน่าแปลกใจที่พระไพศาลบวชมาถึง 34 ปี แต่กลับเข้าใจพระไตรปิฎกคลาดเคลื่อนหรือไม่
โดยนัยนี้สิ่งที่พระไพศาลพูด หลายเรื่องอาจฟังดูดี แต่อาจขาดเหตุผล ทำให้ผิดเพี้ยนจากความเป็นจริงหรือไม่ ชาวพุทธพึงเคารพในพระสงฆ์ แต่ก็ต้องตรวจสอบคำสอน ยึดคำสอนของศาสดาเป็นหลัก ไม่ยึดติดหรือมีฉันทะกับตัวบุคคลโดยเฉพาะพระสงฆ์รูปใดจนขาดการใช้วิจารณญาณเท่าที่ควร
สำหรับการทักท้วงพระไพศาลนี้ บางท่านอาจกลัวว่าจะบาป ไม่ต้องกลัวหรอก เพราะพระไพศาลบอกเองว่า ". . .การตักเตือนพระเป็นสิ่งที่ควรทำ เพราะพระส่วนใหญ่เป็นผู้ที่อยู่ระหว่างการฝึกฝนพัฒนาตน ควรมีผู้แนะนำและทักท้วงเมื่อเห็นท่านประพฤติไม่ถูกต้องตามพระธรรมวินัย ผู้ที่ทำเช่นนั้นถือว่าเป็นทั้งกัลยาณมิตรและผู้รักษาพระธรรมวินัย อันถือว่าเป็นหน้าที่อย่างหนึ่งของอุบาสกอุบาสิก. . ." http://bit.ly/2vDXuHm)
ดูวิดิโอคลิก: http://bit.ly/2vauIx9