หน้าแรก ตรวจหวย เว็บบอร์ด ควิซ Pic Post แชร์ลิ้ง หาเพื่อน Chat หาเพื่อน Line หาเพื่อน Skype Page อัลบั้ม แต่งรูป คำคม Glitter สเปซ ไดอารี่ เกมถอดรหัสภาพ เกม วิดีโอ คำนวณ การเงิน
ติดต่อเว็บไซต์ลงโฆษณาลงข่าวประชาสัมพันธ์แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสมเงื่อนไขการให้บริการ
เว็บบอร์ด บอร์ดต่างๆค้นหาตั้งกระทู้

7 วิธีการตรวจครรภ์ & ราคาและวิธีใช้ที่ตรวจครรภ์ !

โพสท์โดย Alexander Anderson

การตรวจตั้งครรภ์

เมื่อเริ่มสงสัยว่าตัวเองกำลังตั้งครรภ์ คุณแม่อาจทดสอบการตั้งครรภ์ด้วยตัวเอง ซึ่งจะมีชุดทดสอบการตั้งครรภ์ที่น่าเชื่อถือจำหน่ายอยู่ทั่วไป แต่ถึงแม้จะทดสอบแล้วก็ตาม คุณแม่ก็ควรจะไปพบหมอด้วยเพื่อตรวจดูให้แน่ใจว่ามีการตั้งครรภ์เกิดขึ้นแล้วจริงๆ และเพื่อติดตามการดูแลครรภ์ให้คุณแม่

ตรวจครรภ์ด้วยตัวเอง

ชุดตรวจครรภ์ หรือ ที่ตรวจครรภ์ : การตรวจครรภ์ด้วยตัวเองนี้ จะเป็นการทดสอบหาฮอร์โมน HCG (Human chorionic gonadotropin) ในปัสสาวะของคุณแม่นั้นเองค่ะ ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่หลั่งมาจากรกและจะเริ่มผลิตหลังจากเกิดการปฏิสนธิไปแล้วประมาณ 6 วัน และจะขึ้นสูงสุดในช่วง 8-12 สัปดาห์ ซึ่งจะมีความแม่นยำมากถึงร้อยละ 90 และสามารถตรวจได้อย่างแม่นยำในรายที่มีการขาดประจำเดือนตั้งแต่วันที่ 10-14 ขึ้นไป โดยปกติแล้วในชุดทดสอบจะมีอุปกรณ์ตรวจมาให้พร้อมอย่างเสร็จสรรพ แต่จะมีอยู่ด้วยกัน 3 รูปแบบ คือ



การอ่านผลที่ตรวจครรภ์

ส่วนมากแล้วในกล่องของชุดทดสอบการตั้งครรภ์ที่ซื้อมาจะบอกวิธีการใช้และวิธีการอ่านค่าไว้แล้วพร้อมรูปตัวอย่างด้วย แต่โดยส่วนมากการอ่านผลที่ถูกต้องจะต้องอ่านภายใน 5 นาที ถ้าทิ้งไว้นานกว่านี้อาจทำให้มีอีกขีดโผล่ขึ้นมาได้ ซึ่งนั่นอาจไม่ใช่การตั้งครรภ์หรือเป็นค่าที่เชื่อถือไม่ได้แล้ว โดยขีด C คือ Control Line ส่วนขีด T คือ Test Line

หมายเหตุ : ผลที่ได้จากการทดสอบจะบอกได้แค่ว่ามีการตั้งครรภ์หรือไม่เท่านั้น ไม่ได้บอกว่ามีการตั้งครรภ์ในมดลูกหรือนอกมดลูก

ตรวจตั้งครรภ์ได้เมื่อไหร่

โดยปกติแล้วควรรอให้เลยวันที่รอบเดือนควรจะมาเสียก่อนอย่างน้อยประมาณ 7 วัน เพราะบางครั้งความเครียด ความวิตกกังวลด้วยกลัวว่าจะมีลูกก็อาจทำให้ประจำเดือนมาช้ากว่าปกติได้ ถ้ารอจนครบ 7 วัน เมื่อตรวจแล้วพบว่าให้ผลบวก ก็แปลว่าคุณกำลังตั้งครรภ์ แต่ถ้าให้ผลลบก็ยังไม่แน่ใจว่าจะไม่ตั้งครรภ์หรือไม่ หากประจำเดือนยังไม่มาอีกภายใน 7 วันหลังจากตรวจครั้งแรก ก็ให้คุณตรวจซ้ำอีกครั้ง ถ้ายังให้ผลลบอยู่คุณก็น่าจะไม่ตั้งครรภ์ แต่ก็ยังไม่แน่นอนอยู่ดีครับหากประจำเดือนของคุณยังไม่มา หลังจากตรวจรอบ 2 ถ้าเลย 7 วันไปแล้วและกังวลเรื่องการตั้งครรภ์ก็ให้พบแพทย์ได้ค่ะ

ตรวจครรภ์ขึ้นขีดจาง

ผลการตรวจปัสสาวะยังไม่ชัดเจนว่าตั้งครรภ์แล้วหรือไม่ แต่ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าน่าจะมีการตั้งครรภ์เกิดขึ้น เพราะชุดทดสอบในปัจจุบันจะมีความไวสูงมาก ปริมาณฮอร์โมน HCG เพียง 10 mIU/ml ก็สามารถตรวจพบการตั้งครรภ์ได้แล้ว ในกรณีนี้ให้คุณตรวจซ้ำใหม่อีกครั้งในอีก 7 วันถัดไป แต่ถ้ารู้สึกไม่สบายใจจริงๆ คุณอาจจะไปตรวจการตั้งครรภ์ที่โรงพยาบาลก็ได้ค่ะ

แต่ในกรณีที่ซื้อชุดตรวจการตั้งครรภ์หลายๆยี่ห้อมาตรวจใหม่แล้วได้ผลตรงกันหมด คือ ทุกๆยี่ห้อขึ้น 2 ขีดจางหมด พร้อมกับมีหรือไม่มีอาการของคนตั้งครรภ์ระยะแรก ก็ค่อนข้างเป็นที่แน่ใจแล้วว่าคุณ “ กำลังตั้งครรภ์ ” ขอให้คุณรีบพบแพทย์เพื่อฝากครรภ์ จะได้ตรวจเลือดและตรวจร่างกาย และให้หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่อาจทำให้เกิดอันตรายกับลูกในทันที เช่น ยารักษาสิว ถ้าไม่มั่นใจก็ให้ปรึกษาแพทย์เรื่องยาที่รับประทานอยู่ก็ได้เช่นกันค่ะ

ตรวจขึ้น 2 ขีด แต่ไม่ท้อง

ถ้าทดสอบการตั้งครรภ์แล้วขึ้น 2 ขีด คุณอาจจะไม่ท้องก็ได้ นั่นคือ เป็น “ผลบวกลวง” ซึ่งอาจพบได้ในกรณีที่ น้ำปัสสาวะมีการอักเสบ มีเลือด หรือมีไข่ขาวปน, แผ่นทดสอบเสื่อมประสิทธิภาพ, ในผู้ที่ทานยาบางชนิด, ในผู้ที่มีฮอร์โมนผิดปกติ เช่น อ้วนมาก หรือเป็นโรคไทรอยด์ นอกจากนั้น แม้ตั้งครรภ์ ก็อาจเป็นการตั้งครรภ์สารเคมี ( Chemical pregnancy ) ก็ได้ คือ มีไข่กับอสุจิผสมกันจริง แต่ไม่มีการฝังตัวของทารกในโพรงมดลูก หรืออาจเป็นการตั้งครรภ์ที่ผิดปกติอื่นๆ เช่น ตั้งครรภ์นอกมดลูก ตั้งครรภ์ไข่ลม ฯลฯ แต่กรณีนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้น้อยมากๆ ค่ะ ในทางกลับกันเมื่อทดสอบปัสสาวะแล้วขึ้นขีดเดียว ก็อาจจะท้องก็ได้ครับ หรือที่เรียกว่า “ ผลลบลวง ” เช่น เป็นการตรวจในช่วงน้ำปัสสาวะเจือจาง ตรวจตอนท้องเกินกว่า 4 เดือน เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ถ้าขึ้น 2 ขีดแล้ว จะจางหรือไม่จางก็ตาม เอมขอแนะนำให้พบแพทย์เพื่อตรวจดูอีกครั้งจะดีที่สุดค่ะ ( ข้อมูลจาก : พญ.ชัญวลี ศรีสุโข )

หาซื้อที่ตรวจครรภ์ได้ที่ไหน

คุณสามารถหาซื้อชุดตรวจครรภ์ได้ที่ร้านขายยาทั่วไป รวมถึงร้านสะดวกซื้ออย่าง 7-11 ใกล้บ้าน

ราคาที่ตรวจครรภ์

ชุดตรวจก็มีอยู่ด้วยกันหลายแบบตามที่กล่าวมา โดยจะมีราคาตั้งแต่ 50 บาทไปจนถึง 200 บาท

ที่ตรวจครรภ์ยี่ห้อไหนดี

ไม่ว่าจะถูกหรือแพงความแม่นยำในการตรวจก็ใกล้เคียงกันครับ ถ้าจะซื้อยี่ห้อแพงๆ เอมแนะนำให้ซื้อตัวที่มีราคากลางๆ ( ไม่ถูกมากจนเกินไป ) มาสัก 2 ชุด เพื่อใช้ตรวจซ้ำอีกรอบจะดีกว่านะ จะต่างยี่ห้อกันก็ได้ครับเพื่อความชัวร์

คำแนะนำในการทดสอบการตั้งครรภ์ด้วยตนเอง

การตรวจการตั้งครรภ์

สำหรับผู้หญิงบางคนที่คิดว่าตัวเองกำลังมีลูกตัวน้อยๆอยู่ในท้อง โดยอาจรู้มาจากการได้ยินจากผู้ที่มีประสบการณ์ จากการอ่านหนังสือเรื่อง “25 อาการคนท้อง & ลักษณะคนท้อง (อาการของคนตั้งครรภ์) !!” หรือจากการที่เคยมีประสบการณ์มาก่อนแล้ว แต่ยังไม่มั่นใจนักจนกว่าจะไปให้หมอตรวจ คุณแม่บางรายอาจสงสัยว่าหมอจะตรวจหรือซักถามอะไรบ้างที่จะมั่นใจได้ว่าตั้งครรภ์อย่างแน่นอน ไปดูกันเลยครับว่าคุณหมอจะมีวิธีการตรวจการตั้งครรภ์ได้อย่างไรบ้าง

การซักประวัติ

ในขั้นแรกหมอจะทำการซักประวัติของคุณก่อน โดยจะถามว่าประจำเดือนมาครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ ก็ให้คุณแม่ตอบ “วันแรกของประจำเดือนครั้งสุดท้าย ” ที่มาตามปกติ ( ไม่ใช่วันที่สุดท้ายของการมีประจำเดือนหรือวันที่ประจำเดือนควรจะมาแต่ก็ไม่มา เพราะจะทำให้หมอไขว้เขวได้ค่ะ ) เช่น คุณแม่มีรอบประจำเดือนทุกๆ 28 วัน ประจำเดือนของคุณแม่มาครั้งล่าสุดวันที่ 1-5 มกราคม 2559 และประจำเดือนควรจะมาอีกครั้งในวันที่ 28-29 มกราคม 2558 ดังนั้นประจำเดือนครั้งสุดท้ายที่มาคือวันที่ 1 มกราคม ไม่ใช่วันที่ 5 หรือ 28-29 มกราคม นอกจากนี้หมอจะถามด้วยว่ารอบเดือนของคุณแม่มาสม่ำเสมอหรือไม่ โดยจะถามว่า “ประจำเดือนครั้งก่อนครั้งสุดท้ายมาวันที่เท่าไร ? ” เพื่อเป็นการเช็กว่าประจำเดือนของคุณแม่มาสม่ำเสมอหรือไม่ หรือถามว่าเคยมีประจำเดือนขาดไปโดยไม่ตั้งครรภ์หรือไม่ พร้อมกับถามถึงอาการอื่นๆ ที่เป็นสัญญาณบ่งบอกว่ากำลังตั้งครรภ์ เช่น คลื่นไส้ อาเจียน วิงเวียนศีรษะ เต้านมคัด ปัสสาวะบ่อย เป็นต้น หรือถ้าประจำเดือนครั้งสุดท้ายออกมาน้อยกว่าปกติหรือเปื้อนผ้าอนามัยเพียงนิดเดียว และออกมาเพียงครึ่งวันก็ควรแจ้งให้หมอทราบด้วยนะครับ เพราะคุณอาจเริ่มมีการตั้งครรภ์ตั้งแต่ตอนนั้นแล้วก็ได้ เนื่องจากเลือดที่ออกมานั้นเกิดขึ้นในขณะที่รกและตัวเด็กฝังเข้าไปในเยื่อบุโพรงมดลูก ทำให้คุณแม่บางคนอาจมีเลือดออก แต่ก็ไม่ถือว่าเป็นอาการที่ผิดปกติแต่อย่างใดค่ะ

การตรวจภายใน

การตรวจภายในเป็นอีกวิธีที่จะช่วยทำให้แน่ใจได้ว่าการขาดประจำเดือนนั้นมีสาเหตุมาจากการตั้งครรภ์ ไม่ใช่มาจากสาเหตุอื่น โดยการตรวจภายในนั้นเป็นวิธีการตรวจที่ทำได้ง่าย ไม่เจ็บปวดและเป็นอันตรายแต่อย่างใด ถ้าถามว่าจำเป็นต้องตรวจภายในหญิงทุกคนที่มีครรภ์หรือไม่? คำตอบก็คือ “ก็ไม่เสมอไปหรอกค่ะ แต่เป็นสิ่งที่ควรทำอย่างยิ่ง เพื่อประโยชน์ของคุณแม่เอง ” ถ้าหมอซักประวัติและตรวจร่างกายทั่วไปแล้วเห็นว่าปกติ คลำหน้าท้องก็ได้ขนาดของมดลูกใกล้เคียงกับระยะที่ขาดประจำเดือน ก็ไม่ต้องตรวจภายในก็ได้ แต่ถ้าคุณมีอาการผิดปกติหรือตรวจดูแล้วพบว่ามีความสงสัยว่าจะผิดปกติ ส่วนนี้ก็คงต้องยอมให้หมอตรวจภายในค่ะ

โดยการตรวจภายในนั้น ผู้ช่วยแพทย์หรือพยาบาลจะให้คุณเปลี่ยนเสื้อผ้า ถอดกางเกงใน แล้วพาขึ้นบนเตียงตรวจ ให้คุณนอนให้สบาย หายใจเข้าออกช้าๆ เพื่อให้กล้ามเนื้อของร่างกายหย่อน แล้วหมอจะทำการตรวจดูอวัยวะภายนอกและปากช่องคลอดว่ามีความผิดปกติหรือไม่ เช่น ดูว่ามีรอยเกา ระดูขาวไหลเปื้อน หรือมีก้อนผิดปกติหรือไม่ ถ้าปกติดีหมอจะทำการสอดเครื่องมือเล็กๆ เข้าไปในช่องคลอด “ซึ่งผู้ที่ตั้งครรภ์นั้นจะมองเห็นช่องคลอดและปากมดลูกมีสีคล้ำกว่าปกติ ” พร้อมกันนี้หมอจะตรวจดูด้วยว่าบริเวณช่องคลอดและปากมดลูกมีความผิดปกติหรือไม่ เช่น มีการอักเสบหรือมีแผลที่ปากมดลูก ( บางคนหมอจะเก็บเอาระดูขาวไปตรวจหาเชื้อโรคและตรวจหาเซลล์มะเร็งด้วย ซึ่งจะรู้ผลได้ในวันต่อมา ) เมื่อตรวจเสร็จหมอจะดึงเครื่องมือออก แล้วสอดนิ้ว 2 นิ้วที่สวมถุงมือฆ่าเชื้อโรคแล้วเข้าไปในช่องคลอด ส่วนอีกมือหนึ่งจะกดเบาๆ บริเวณหน้าท้องเพื่อตรวจหาขนาดรูปร่างของมดลูกว่าโตหรือไม่ ซึ่งการตรวจภายในนั้นจะคลำพบมดลูกโตขึ้นอย่างชัดเจนในช่วงตั้งแต่สัปดาห์ที่ 6-8 ขึ้นไปนับจากวันที่ประจำเดือนมาครั้งสุดท้าย

ในกรณีที่ประจำเดือนขาดไปแล้วประมาณ 2-3 เดือน แต่หมอตรวจดูแล้วไม่พบว่ามดลูกโตขึ้นเลย ก็แสดงว่าคุณไม่ตั้งครรภ์ แต่ถ้าตรวจแล้วพบว่ามดลูกมีขนาดโตมากกว่าระยะการขาดประจำเดือน ก็อาจเป็นไปได้ว่าคุณกำลังตั้งครรภ์แฝด หรือตั้งครรภ์มาก่อนหน้านี้แล้ว หรืออาจเป็นเนื้องอกในมดลูกร่วมกับการตั้งครรภ์ก็ได้ จึงทำให้มดลูกโตมากกว่าปกติ ในส่วนนี้หมอจะต้องตรวจหาสาเหตุต่อไปและวินิจฉัยว่าเป็นอะไรกันแน่

นอกจากนี้ หมอจะคลำดูขนาดของรังไข่และปีกมดลูกทั้งสองข้างด้วยว่าคลำพบหรือไม่ เพราะโดยปกติแล้วจะคลำไม่พบ แต่ถ้าพบก็แสดงว่าโตกว่าปกติ หรืออาจมีก้อนอะไรสักอย่าง ถ้ามีอาการปวดเสียวท้องน้อยหรือบริเวณใกล้เคียงก็ควรจะแจ้งให้หมอทราบด้วย เพื่อจะได้ตรวจดูให้ละเอียดว่ามีความผิดปกติหรือไม่ นอกจากนั้นการตรวจภายในอาจจะมีการคลำบริเวณหน้าท้องดูด้วยว่ามีก้อนอื่นๆที่มีขนาดโตผิดปกติหรือไม่ เช่น ตับโต ม้ามโต เป็นต้น

การตรวจปัสสาวะ

ปัจจุบันความก้าวหน้าทางการแพทย์ทำให้วิธีการทดสอบการตั้งครรภ์เป็นไปได้ง่าย รวดเร็ว และให้ผลแม่นยำ หากคุณสงสัยว่ากำลังตั้งครรภ์ หมอจะเอาปัสสาวะเพียงไม่กี่หยดของคุณไปตรวจด้วยน้ำยาทดสอบ เนื่องจากในปัสสาวะของหญิงตั้งครรภ์จะมีฮอร์โมนชนิดหนึ่ง (HCG) ที่บ่งบอกให้รู้ได้ว่ากำลังตั้งครรภ์ หรือที่ทางการแพทย์เรียกว่า ทำ “Pregnancy test”, “Preg test” หรือ “PT ” ถ้าคุณเก็บปัสสาวะหลังตื่นนอนตอนเช้าไปให้หมอตรวจได้ก็จะได้ผลที่แน่นอนยิ่งขึ้น แต่มีข้อแม้ว่าประจำเดือนของคุณจะต้องขาดไปแล้วประมาณ 35-40 วัน นับจากครั้งสุดท้ายที่ประจำเดือนมา หรืออีกอย่างก็คือให้ประจำเดือนเลยกำหนดที่จะมาไปก่อนประมาณ 7-10 วันขึ้นไป การตรวจปัสสาวะจึงจะเชื่อถือได้และแม่นยำเกือบ 100%

แต่ในกรณีที่คุณไม่ได้เก็บปัสสาวะตอนเช้าไว้ให้หมอตรวจ แล้วไปตรวจที่โรงพยาบาลในตอนกลางวันหรือไปตรวจที่คลินิกในช่วงตอนเย็นพร้อมกับถ่ายปัสสาวะแล้วตรวจเลย ถ้าตรวจแล้วได้ ผลบวก ( Positive ) ก็แสดงว่าคุณตั้งครรภ์อย่างแน่นอนแล้ว แต่ถ้าตรวจออกมาแล้วได้ ผลลบ ( Negative ) บวกกับประจำเดือนของคุณเพิ่งขาดไปได้ไม่กี่วัน ก็แสดงว่าคุณอาจจะไม่ได้ตั้งครรภ์ หรืออาจจะตั้งครรภ์ก็ได้ เนื่องจากระดับฮอร์โมนที่ออกมาในปัสสาวะยังน้อยเกินกว่าที่จะตรวจพบได้ ในกรณีนี้ให้คุณรอไปอีกประมาณ 1-2 สัปดาห์ แล้วค่อยเก็บปัสสาวะตอนเช้าไปให้หมอตรวจอีกครั้ง ผลที่ได้ก็จะแน่นอนและบอกได้เลยว่าตั้งครรภ์หรือไม่

การตรวจเลือด

เป็นการตรวจเพื่อหาระดับฮอร์โมน HCG สามารถตรวจพบการตั้งครรภ์ได้ตั้งแต่ 2 สัปดาห์หลังจากมีการปฏิสนธิเกิดขึ้น ให้ผลที่แน่นอน 100% แต่เนื่องจากวิธีนี้มีค่าใช้จ่ายสูงและทำได้เฉพาะในโรงพยาบาลใหญ่ๆเท่านั้น จึงยังไม่เป็นที่นิยมกันมากนัก แต่วิธีนี้จะนิยมใช้ในกรณีที่คุณแม่กำลังรักษาภาวะการมีบุตรยาก หรือในรายที่คุณแม่มีประวัติการแท้งบ่อยๆ เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการพิจารณาให้ฮอร์โมนเสริมเพื่อป้องกันการแท้งบุตรค่ะ

การตรวจอัลตราซาวนด์

การตรวจอัลตราซาวนด์ (Ultrasound หรือ Ultrasound scanning หรือ Ultrasonography) เป็นการตรวจโดยใช้เครื่องมือที่เรียกว่า “เครื่องตรวจคลื่นเสียงความถี่สูง ” เป็นเครื่องมือที่อาศัยการส่งคลื่นเสียงที่มีความถี่สูงออกไปยังเนื้อเยื่อต่างๆ ซึ่งมีความสามารถในการดูดซับคลื่นเสียงและสะท้อนกลับไม่เท่ากัน แล้วมีเครื่องรับคลื่นที่สะท้อนกลับมาแล้วเปลี่ยนเป็นภาพบนจอทีวี ทำให้สามารถมองเห็นเป็นภาพได้ ซึ่งการตรวจตั้งครรภ์ด้วยวิธีนี้จะสามารถตรวจได้ตั้งแต่เริ่มมีการตั้งครรภ์กันเลยทีเดียว และไม่ทำให้คุณแม่เจ็บปวดอะไรเลย คล้ายๆกับการตรวจเอกซเรย์ แต่จะมีอันตรายน้อยกว่ามาก โดยหมอจะใช้หัวตรวจวางบนผนังหน้าท้องบริเวณท้องน้อยก็ตรวจได้แล้ว หรือในบางกรณีที่ต้องการความชัดเจนมากขึ้น หมอจะใช้หัวตรวจชนิดเล็กสอดเข้าไปในช่องคลอด ก็จะช่วยทำให้เห็นลูกน้อยในครรภ์ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ซึ่งจะไม่เจ็บ มีความสะอาด และไม่ทำให้ติดโรคติดต่อแต่อย่างใด

นอกจากจะช่วยตรวจดูว่ามีการตั้งครรภ์แล้วหรือไม่ เครื่องมือชนิดนี้ยังใช้ตรวจเพื่อติดตามการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ไปจนถึงวันคลอดได้ สามารถบอกได้ว่าคุณแม่กำลังตั้งครรภ์ประมาณกี่สัปดาห์แล้ว นอกจากนี้ยังใช้ประโยชน์ในการตรวจหาความผิดปกติของลูกน้อย โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับโครงสร้างของร่างกายลูกน้อยในครรภ์ จึงช่วยวินิจฉัยความผิดปกติเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ได้ เช่น ลูกไม่เจริญเติบโต ตั้งครรภ์นอกมดลูก แท้งลูก หรือลูกมีความพิการบางอย่าง ครรภ์แฝด น้ำคร่ำมากหรือน้อยเกินไป มีรกเกาะต่ำหรือไม่ และหลังจาก 4 เดือนไปแล้วก็จะสามารถตรวจเพศของลูกได้ว่าเป็นเพศหญิงหรือเพศชาย เป็นต้น และหมอหลายๆท่านก็แนะนำให้ตรวจอัลตราซาวนด์ในช่วงอายุครรภ์ 4-5 เดือน หรือสัปดาห์ที่ 18-20 เนื่องจากช่วงนี้จะเริ่มเห็นอวัยวะต่างๆได้ครบทุกอย่าง ซึ่งก็เป็นการตรวจไปในตัวว่าทารกสมบูรณ์หรือมีความผิดปกติหรือไม่

ในอดีตอัลตราซาวนด์จะเป็นแบบ 2 มิติ คือเป็นภาพเงาขาว-ดำ เห็นได้ไม่ชัดเจน แต่ในปัจจุบันได้มีการพัฒนาเป็น 3 มิติ ที่สามารถมองเห็นกระแสไหลเวียนของเลือดได้ มีความลึกคล้ายกับการถ่ายรูป ทำให้สามารถเห็นขนาดของลูกน้อยในครรภ์ชัดมากขึ้น ถ้ามีความผิดปกติบางอย่าง เช่น ปากแหว่ง เพดานโหว่ ก็จะสามารถตรวจเห็นได้เลย และภายหลังได้มีการเพิ่มมิติของเวลาเข้าไปรวมเป็น 4 มิติ ทำให้เราสามารถเห็นภาพการเคลื่อนไหว เห็นอิริยาบถต่างๆของลูกน้อยในครรภ์ได้อย่างชัดเจน และสามารถตรวจดูมดลูกและรังไข่ได้ว่ามีความผิดปกติหรือไม่ได้อีกด้วย ดังนั้น “หากตรวจปัสสาวะแล้วได้ผลบวก การตรวจอัลตราซาวนด์จะช่วยรับรองผลได้เป็นอย่างดี

การตรวจการเต้นของหัวใจทารก

เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ใช้ตรวจภายหลังมีการตรวจยืนยันแล้วว่ามีการตั้งครรภ์จริงๆ โดยคุณหมอจะใช้หูฟัง ( Stethoscope ) ตรวจฟังเสียงการเต้นของหัวใจทารกได้เมื่อคุณแม่มีอายุครรภ์ประมาณ 17-19 สัปดาห์

เอกสารอ้างอิง
  1. หนังสือคู่มือตั้งครรภ์และเตรียมคลอด. “การตรวจว่าตั้งครรภ์หรือไม่”. ( ศ. (คลินิก) นพ.สุวชัย อินทรประเสริฐ ). หน้า 29-33.
  2. หนังสือ 40 สัปดาห์ พัฒนาครรภ์คุณภาพ. “ทดสอบให้แน่ใจว่าตั้งครรภ์จริง”. ( รศ.พญ.สายฝน – นพ.วิชัย ชวาลไพบูลย์ ). หน้า 19.
  3. ข้อมูลอื่นๆจากอินเทอร์เน็ต

ด้วยรักและห่วงใยจากกองกุมารเวชกรร รพ.สมเด็จพระปิ่นเกล้า กรมแพทย์ทหารเรือ

⚠ แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม 
Alexander Anderson's profile


โพสท์โดย: Alexander Anderson
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
4 VOTES (4/5 จาก 1 คน)
VOTED: Alexander Anderson
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
ซูเปอร์สตาร์ที่ไม่มีงานแสดง แต่เป็นเศรษฐีระดับพันล้าน7 ลักษณะหน้าตาของจิ๊มิ เรื่องปกติข้าวเหนียวมะม่วงของไทย คว้าอันดับ 2 ขนมหวานประเภทมีข้าวเป็นส่วนประกอบที่ดีที่สุดของโลกชาวมาเลย์ไม่พอใจ! หลังฝรั่งชมคนไทยยิ้มเก่งกว่า?ประเทศที่นิยมใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากที่สุดในโลก3 ราศีที่เป็นเสือซุ่ม ฉลาดแต่ไม่ชอบอวดนึกว่าเน็ตค้าง จะขำหรือสงสารหากโลกนี้มีเวทมนต์จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง"บีม ศรัณยู" ลั่น! ต่อไปนี้จะไม่มี "บีม พลังใบ"..เพราะจะเลิกกัญชาอย่างถาวร
Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
หมู่บ้านที่ไม่มีประตูสายตาไม่ปกติแบบนี้ เกณฑ์ทหารจับได้ใบแดง เจ้าหน้าที่บอกว่า ถ้าอยากได้ความเป็นธรรมให้ไปฟ้องเอาหากโลกนี้มีเวทมนต์จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง77% หนุ่มไต้หวันพร้อมสู้จีน เพื่อปกป้องประเทศ
กระทู้อื่นๆในบอร์ด สื่อสาธารณะ
ลุงเก็บขวด ถึงจะแต่งตัวมอซอ แต่เรื่องมารยาท ต้องยกนิ้วให้เลย[มีความหวัง] เปิดจุดรอด “ถ้ำหลวง” คนเคยสำรวจชี้จุดโถงใหญ่ มีแสงสว่าง มีปล่องอากาศ ขอเพียงหาปล่องทางเข้าให้เจอ"วันนี้ไม่มีใครคุยกันหนูเลย" ครูทำเกินไปไหม ค้างค่าเทอมต้องเขียนประจานติดเสื้อนักเรียนเลยเหรอ???ออกตัวแรง! รถสองแถวทำนักเรียนหล่นทิ้งไว้บบถนน
ตั้งกระทู้ใหม่