'นอนกรน' อันตรายกว่าที่คิด มาสังเกตคนใกล้ชิด ว่านอนกรนจนเข้าขั้นเสี่ยงภาวะหยุดหายใจหรือเปล่า?
'นอนกรน' อันตรายกว่าที่คิด มาสังเกตคนใกล้ชิด ว่านอนกรนจนเข้าขั้นเสี่ยงภาวะหยุดหายใจหรือเปล่า? โดย ผศ.พญ.รัชนี แซ่ลี้ โรงพยาบาลรามาธิบดี
การนอนกรนบ่งบอกว่าทางเดินหายใจส่วนบนแคบกว่าปกติ เสียงกรนเกิดจากการพยายามออกแรงหายใจเข้าผ่านทางเดินหายใจที่แคบ
นอกจากนี้การนอนกรนยังเป็นสัญญาณอันตรายของโรคหัวใจบางประเภทอีกด้วย
ถึงแม้ผู้ที่กรนส่วนใหญ่จะไม่ได้มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจโดยตรง แต่มันเป็นสัญญาณว่ามีสิ่งผิดปกติเกี่ยวกับการหายใจ คือภาวะทางเดินหายใจส่วนบนอุดกั้นขณะหลับ (Sleep Apnea) ซึ่งภาวะทางเดินหายใจส่วนบนอุดกั้นขณะหลับนี้อาจส่งผลให้เป็นโรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะชนิด atrial fabrillationและโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ ซึ่งอันตรายและอาจทำให้เกิดความผิดปกติอื่นตามมาจนกระทั่งเสียชีวิตได้
ถ้าอยากรู้ว่าการนอนกรนของเราหรือคนใกล้ชิดเข้าขั้นเสี่ยงภาวะหยุดหายใจหรือยังลองสังเกตอาการดังต่อไปนี้...
1.นอนกรนเสมอและกรนเสียงดัง
2.นอนสะดุ้งตื่นบ่อยๆ แต่ผู้ป่วยมักไม่รู้ตัว แต่รู้ได้จากคนที่นอนด้วย
3.กลางวันง่วงนอนมากโดยหาสาเหตุไม่ได้ หลับโดยไม่รู้ตัวเสมอ
4.ปวดศีรษะในตอนเช้า เนื่องจากตอนกลางคืนขาดอากาศหายใจ
5.ปากแห้งมากเมื่อตื่นนอนเพราะต้องอ้าปากหายใจขณะนอนหลับ
6.หงุดหงิดง่าย ความจำสั้น ขาดสมาธิ สมาธิสั้น อารมณ์แปรปรวนง่าย และซึมเศร้าง่าย
จากอาการข้างต้น อาจต้องสอบถามจากคนใกล้ชิดที่นอนด้วยกัน หรือไปพบแพทย์เพื่อตรวจอาการนอนหลับ (sleep test)ถ้าพบว่ามีหลายข้อหรือทุกข้อร่วมกัน ก็เสี่ยงมากที่จะเป็นภาวะหยุดหายใจขณะหลับ ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าจะเกิดโรคหัวใจอย่างที่กล่าวไป
หากไป "ตรวจการนอนหลับ"แพทย์ก็จะให้นอนค้างที่โรงพยาบาล 1 คืน เพื่อติดเครื่องมือติดตามการนอน แล้วดูคลื่นไฟฟ้าสมอง คลื่นไฟฟ้าหัวใจ และความเข้มข้นออกซิเจนในเม็ดเลือดแดงส่วนความรุนแรงนั้น ทางการแพทย์แบ่งไว้ 3 ระดับ คือ ...
- ขั้นต้น (mild sleep apnea) ผู้ป่วยจะหยุดหายใจ 5-14 ครั้งต่อชั่วโมงขณะหลับ
- ขั้นกลาง (moderate sleep apnea) ผู้ป่วยจะหยุดหายใจ 15-30 ครั้งต่อชั่วโมงขณะหลับ
- ขั้นรุนแรง (severe sleep apnea) ผู้ป่วยจะหยุดหายใจมากกว่า 30 ครั้งต่อชั่วโมงขณะหลับ
ถ้าแพทย์วินิจฉัยแล้วว่าเป็นขั้นรุนแรงก็ต้องรักษา อาจจะพิจารณาโดยใส่เครื่องช่วยเพิ่มแรงดันขณะหายใจเข้าออก เพื่อให้ร่างกายรับออกซิเจนได้ดีขึ้น หรืออาจผ่าตัดเนื้อเยื่อรอบทางเดินหายใจ ขึ้นกับประเภทของอาการ
และท้ายที่สุด แพทย์จะแนะนำให้ปรับเปลี่ยนการดำเนินชีวิต คือลดน้ำหนักโดยปรับการกินอาหาร ออกกำลังกาย เลิกดื่มสุราและกาแฟ รวมทั้งข้อแนะนำอื่นๆที่เหมาะสมกับแต่ละคนต่อไป
ที่มา : เฟซบุ๊ค มูลนิธิหัวใจแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์