IMFผวา! ยกบทเรียนญี่ปุ่นแก้ปัญหาคนแก่ล้น
โครงสร้างประชากรผู้สูงอายุล้นเมืองจะกดดันเศรษฐกิจ ระบบเงินบำนาญแห่งชาติ ระบบการดูแลรักษาพยาบาลของประเทศ
กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ ไอเอ็มเอฟ (The International Monetary Fund : IMF) เรียกร้องให้ประเทศต่างๆ ในภูมิภาคเอเซียเรียนรู้จากประสบการณ์ของประเทศญี่ปุ่น เกี่ยวกับปัญหาประชากร ผู้สูงอายุ โดยขอให้ต่างประเทศต่างๆ ลงมือดำเนินการหรือหามาตรการแต่เนิ่นๆ เพื่อรับมือกับประชากรผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันได้เตือนว่า ประชากรในบางประเทศของภูมิภาคนี้อาจมีความเสี่ยงที่จะ “แก่ก่อนรวย”
ในรายงานแนวโน้มเศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกที่ ไอเอ็มเอฟ นำออกมาเผยแพร่เมื่อเร็วๆ นี้ ไอเอ็มเอฟ เตือนว่า จำนวนผู้สูงอายุที่กำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว มีแนวโน้มที่จะก่อให้เกิด “กำแพงภาษี” ด้านประชากร ที่จะส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ แม้ว่าตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา ภูมิภาคเอเชียจะมีความสุขกับการเติบโตทางด้านประชากรศาสตร์ก็ตาม
“การจัดการกับคนสูงอายุเป็นสิ่งที่ท้าทายอย่างยิ่งสำหรับเอเชีย เนื่องจากประชากรที่อาศัยอยู่ในภูมิภาคนี้ มีระดับรายได้เฉลี่ยต่อหัวค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับสหรัฐฯ และกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว ขณะเดียวกันหลายๆ ประเทศในเอเชีย ประชากรก็แก่ลงเรื่อยๆ และบางประเทศอยู่ในภาวะแก่ก่อนรวยด้วยซ้ำ”
รายงานดังกล่าวยังระบุอีกว่า อัตราการเติบโตของประชากรในภูมิภาคเอเชีย คาดว่าจะลดลงเป็นศูนย์ในปี 2593 โดยกลุ่มประชากรวัยทำงานซึ่งปัจจุบันอยู่ในจุดสูงสุด จะลดลงในหลายทศวรรษข้างหน้านี้ ขณะที่สัดส่วนประชากรที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไปจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยในปี 2593 จะมีจำนวนเกือบ 2.5 เท่าของจำนวนประชากรในปัจจุบัน
ไอเอ็มเอฟ ได้ยกกรณีศึกษาที่ญี่ปุ่นว่า สิ่งท้าทายที่ญี่ปุ่นกำลังเผชิญหน้าอยู่ในขณะนี้มีอยู่ 2 เรื่อง เรื่องแรกคือ ประชากรกลุ่มผู้สูงอายุ เรื่องที่สอง จำนวนประชากรลดลง โดยกลุ่มคนวัยแรงงานลดลงกว่า 7% ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้ จำนวนประชากรส่วนใหญ่ของญี่ปุ่นที่เป็นผู้สูงอายุ และต้องพึ่งพาเงินบำนาญของประเทศเป็นหลัก อาจจะอยู่เบื้องหลังปัญหาการออมและการลงทุนที่ต่ำเกินไปของประเทศ ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ และอาจมีส่วนทำให้อัตราเงินเฟ้อต่ำกว่าเป้าหมาย ที่ธนาคารกลางญี่ปุ่นกำหนดไว้ที่ 2% ด้วย
“ประสบการณ์ของญี่ปุ่นสะท้อนว่า ปัจจัยทางด้านประชากรศาสตร์อาจส่งผลกระทบ ต่อการเติบโตของเศรษฐกิจการเปลี่ยนแปลงของอัตราเงินเฟ้อ และนโยบายทางการเงินที่มีประสิทธิภาพ” ไอเอ็มเอฟ ตอกย้ำในรายงานโดยเรียกร้องให้ประเทศต่างๆ ในเอเชียเรียนรู้จากประสบการณ์ของญี่ปุ่น และจัดการกับปัญหาทางด้านประชากรศาสตร์แต่เนิ่นๆ ผ่านมาตรการต่างๆ อาทิ การจัดทำแผนงบประมาณที่น่าเชื่อถือ การส่งเสริมการมีส่วนร่วมในตลาดแรงงานของแรงงานผู้หญิงและผู้สูงอายุ ตลอดไปจนถึงการปรับปรุงบริการด้านความมั่นคงทางสังคมอื่นๆ เป็นต้น
อย่างไรก็ดี ไอเอ็มเอฟ ตอกย้ำถึงศักยภาพของ เอเซีย แปซิฟิก ว่า ยังคงเป็นภูมิภาคที่มีอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจแข็งแกร่งที่สุดในโลก และเป็นผู้นำในตลาดโลกอยู่ด้วย โดยคาดว่าจีดีพีของเอเชียแปซิฟิกจะเติบโตได้ถึง 5.5% และ 5.4% ในปี 2560 และ 2561 ตามลำดับ แต่ปัจจัยด้านประชากรผู้สูงอายุที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อเทียบกับในยุโรปและสหรัฐอเมริกา ที่เคยประสบกับภาวะมาก่อนก็เป็นประเด็นที่น่าเป็นห่วงอยู่มาก
กระทบระบบสุขภาพแห่งชาติ
มีความกังวลกันว่า โครงสร้างประชากรดังกล่าวจะกดดันเศรษฐกิจ และจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องยกเครื่องระบบเงินบำนาญแห่งชาติ และระบบการดูแลรักษาพยาบาลของประเทศใหม่ ซึ่งก็ทำให้เกิดคำถามต่างๆ ตามมา อาทิ อาจจะมีการตัดเงินบำนาญ เพิ่มค่าธรรมเนียมในการใช้บริการด้านการรักษาพยาบาลของรัฐ และเรียกเก็บเงินสมทบจากผู้สูงอายุที่ร่ำรวยเพิ่มขึ้นก็เป็นได้
ในปี 2508 ระบบประกันสังคมถูกสันนิษฐานว่า คนงานจำนวน 9.1 คน ที่มีอายุระหว่าง 20-64 ปี จะต้องดูแลหรืออุดหนุนผู้สูงอายุ ที่มีอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป 1 คน แต่ในปี 2608 คาดการณ์กันว่า ตัวเลขดังกล่าวน่าจะมีสัดส่วนลดลงมาอยู่ที่ คนทำงาน 1.2 คนเท่านั้น ต่อผู้สูงอายุ 1 คน